เกษตร สมุนไพร ข่าวเกษตร ปลูกผัก เลี้ยงปลา ประมง ปศุสัตว์ การเกษตร เกษตรร้อยแปดดอทคอม

เว็บบอร์ดเกษตร การเกษตร ข่าวสาร สมุนไพร ตลาดซื้อขายสินค้าฟรี 24 ชั่วโมง => ตลาดซื้อขายสินค้า โปรโมทลงโฆษณาฟรี => โปรโมท โฆษณาประชาสัมพันธ์ => ข้อความที่เริ่มโดย: baby8 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564, 05:55:05 pm

หัวข้อ: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564, 05:55:05 pm
คุณพ่อคุณแม่ควรคิดจัดเตรียมห้องของเจ้าตัวน้อยเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อนคลอด เพราะช่วงหลังคลอดอาจไม่มีเวลาให้จัดเตรียม เพราะต้องยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อย ถ้าเป็นไปได้เจ้าตัวน้อยควรมีห้องเป็นของตัวเองใกล้กับห้องของคุณพ่อคุณแม่ แต่ถ้าไม่มีห้องต่างหากก็ควรจัดเตรียมมุมหนึ่งให้เป็นที่ตั้งเตียง เก็บเสื้อผ้า ของใช้เด็กเล็กและอุปกรณ์ต่างๆ โดยมุมนั้นไม่ควรจะอยู่ในมุมอับทึบ ในห้องควรมีการระบายอากาศและถ่ายเทอากาศได้ดี และมีบรรยากาศที่เงียบสงบ เพื่อลูกน้อยจะได้นอนหลับได้สนิทและนาน ซึ่งจะช่วยเป็นการฝึกนิสัยการนอนที่ดีต่อไป นอกจากนี้ควรจัดแต่งห้องนอนด้วยสีสันที่สดใส วัสดุอุปกรณ์มีลวดลายสวยงามน่ารัก และเครื่องใช้ของลูกควรเผื่อให้ใช้จนลูกไปโรงเรียน
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2019/10/cn.jpg)
ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ห้องนอนที่ดีนอกจากจะต้องมีอากาศที่ปลอดโปร่ง สบาย และถ่ายเทได้ดีแล้ว ที่สำคัญจะต้องมีความปลอดภัยด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรจัดวางเตียงนอนให้ห่างจากหน้าต่างและพ้นจากสิ่งกีดขวาง เตียงของลูกตะต้องมีความหนาแน่นและแข็งแรง สิ่งของเครื่องเรือนและของใช้เด็กอ่อนทีมีอยู่ควรจัดตกแต่งให้เหมาะสมและคอยดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ ควรมีเก้าอี้ของคุณแม่ เตียงนอนของลูก และที่เปลี่ยนผ้าอ้อม ควรมีชั้นวางของให้คุณแม่หยิบของใช้ได้อย่างสะดวก ด้านหนึ่งของตู้วางของให้กันส่วนหนึ่งไว้เป็นพื้นที่ว่าง และมีขอบสูงระดับเอว เวลาใช้งานจะได้ไม่ปวดหลัง ควรวางเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ใกล้ที่เสียบปลั๊กสายไฟจะได้ไม่เกะกะทางเดินและเต้าเสียบควรมีฝาครอบปิดเมื่อไม่ได้ใช้งาน ควรเก็บครีมทาผิวและแป้งเด็กไว้ใกล้ที่เปลี่ยนผ้าอ้อมและไกลจากมือเจ้าตัวน้อย ที่นอนของเจ้าตัวน้อยไม่ควรนุ่มจนเกินไป ควรมีฟองน้ำหนาๆ กันเหลี่ยมมุมตู้ไว้ทุกจุด หน้าต่างที่เปิดออกต้องมีล็อกกั้นไว้
แสงสว่าง ในยามดึกคุณพ่อคุณแม่อาจลุกขึ้นมาดูแลเจ้าตัวน้อยหลายครั้ง ห้องนอนจึงควรมีแสงสว่างอย่างเพียงพอ ไม่ทำให้เดินสะดุด อาจใช้โคมไฟที่สามารถปรับความสว่างได้ตามระดับที่ต้องการ โดยที่ไม่ทำให้ลูกต้องสะดุ้งตื่น
หน้าต่างและผ้าม่าน ห้องนอนของเจ้าตัวนอนควรเป็นห้องที่มีหน้าต่าง ลมพัดถ่ายเทได้สะดวก และต้องมั่นใจว่าสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นสะอาดและปลอดกลิ่น เช่น ไม่อยู่ใกล้บริเวณที่ทิ้งขยะ ไม่อยู่ใกล้กับห้องครัว ฯลฯ สำหรับหน้าต่างนั้นควรอยู่ในระดับที่เจ้าตัวน้อยเอื้อมไม่ถึง หากหน้าต่างอยู่ในระดับต่ำก็ควรทำลูกกรง กั้นให้เรียบร้อย สำหรับหน้าต่างแบบเปิดปิดได้ควรมีที่ล็อกกั้นไว้ และควรมีผ้าม่านบังแสงแดดในตอนเช้าด้วย
พื้นห้องและผนังห้อง พื้นในห้องนอนของเจ้าตัวน้อยควรเรียบและไม่ลื่น กวาดถูทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ต้องปูพรม หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุปูพื้นที่เป็นขน เพราะเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและความสกปรก ถ้าเป็นไปได้พื้นห้องควรใช้วัสดุปูพื้นประเภทไวนิล เพราะมีความทนทานและสะดวกในการทำความสะอาด ส่วนผนังห้องถ้าใช้วอลล์เปเปอร์หรือกระดาษติดฝาผนังก็ควรที่จะเลือกชนิดที่เช็ดทำความสะอาดได้และสีไม่ตก สำหรับสีที่ใช้ทาผนังก็ควรเป็นสีที่ไม่มีส่วนผสมของสารพิษ ให้ระวังสีที่มีส่วนผสมปนเปื้อนสารตะกั่ว
เครื่องเรือนและการจัดเก็บ ในห้องนอนควรมีตู้สูงระดับเอวเอาไว้สำหรับเก็บสิ่งของเครื่องใช้ และยังเป็นโต๊ะสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อมได้ด้วย แต่ตู้ที่ดัดแปลงเป็นโต๊ะนี้ควรทำมาจากวัสดุพื้นผิวเรียบ ถ้าเป็นไม่ก็ควรระวังอย่าให้มีรอยแตกหรือมีเสี้ยนไม้ ควรมีตู้สำหรับเก็บของใช้เด็กอ่อนของเจ้าตัวน้อยหรืออุปกรณ์ของใช้อื่นๆ ในการจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564, 01:41:13 pm
เทคนิคและวิธีเลือกเครื่องปั๊มน้ำนม

แน่นอนว่า น้ำนมแม่นั้นเป็นสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย ซึ่งคุณแม่ทุกคนก็อยากที่จะเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ไปได้นานๆเท่าที่ทำได้ แต่สำหรับคุณแม่บางคนที่อาจจะมีความจำเป็นบางอย่าง ที่ทำให้ไม่สามารถให้น้ำนมลูกจากเต้าของคุณแม่ได้ เช่นต้องกลับไปทำงาน หรือมีธุระนอกบ้านและไม่สามารถพาเจ้าตัวน้อยไปด้วยได้ ก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะยังมีอีกหลากหลายวิธีที่จะทำให้เจ้าตัวน้อยได้กินน้ำนมแม่ในตอนที่คุณแม่ไม่อยู่บ้าน หนึ่งในนั้นก็คือการปั๊มน้ำนมเพื่อเก็บน้ำนมสำรองไว้ให้ลูกน้อย ซึ่งเครื่องปั๊มน้ำนมถือเป็นของใช้ด็กที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆของคุณแม่ในยุคปัจจุบัน แต่วิธีการปั๊มน้ำนมทำได้อย่างไรบ้าง
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2018/10/5k.jpg)
ก่อนอื่นเลยเรามาดูกันก่อนว่า การปั๊มน้ำนมทำได้อย่างไรบ้าง

โดยหลักการแล้วการปั๊มน้ำนมนั้นทำได้หลายวิธี แต่ละวิธีต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป คุณแม่สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมได้ตามสถานการณ์ของแต่ละคน ซึ่งวิธีหลักๆ นั้นมีดังนี้

การบีบน้ำนมแม่ด้วยมือ
เครื่องปั๊มน้ำนมแบบมือ (Manual)
เครื่องปั๊มน้ำนมแบบไฟฟ้า
ของใช้เด็ก เครื่องปั๊มน้ำนม

สำหรับคุณแม่ท่านใดที่อาจจะไม่ถนัดกับการบีบน้ำนมแม่ด้วยมือ ก็อาจจะต้องพิจารณาเลือกซื้อเครื่องปั๊มน้ำนมสักเครื่อง แต่เครื่องปั๊มน้ำนมนั้นก็มีทั้งแบบที่ใช้มือ มีทั้งแบบที่ใช้แบตเตอรี่ และไฟฟ้า อีกทั้งยังมีแบบปั๊มได้ทีละข้างหรือสองข้าง คุณแม่ที่กำลังตัดสินใจเลือกควรเลือกอย่างไรดีหรือควรพิจารณาอย่างไรดี

1.ประสิทธิภาพของแรงดูดและรอบดูด

เครื่องปั๊มน้ำนมที่ดีนั้นจะมีจังหวะการปั๊มเลียนแบบการดูดของทารก ปกติแล้วเครื่องปั๊มที่ใกล้เคียงการดูดของทารกในช่วง 6-12 สัปดาห์ จะต้องมีแรงดูดอย่างน้อย 200 mmHg และรอบการดูดอย่างน้อย 40 – 60 รอบต่อนาที แต่หากว่าร่างกายของคุณแม่มีการผลิตน้ำนมได้ดี การปั๊มน้ำนมในช่วงนี้ก็จะง่ายและได้น้ำนมปริมาณมาก แม้ว่าจะใช้เครื่องปั๊มน้ำมนที่มีรอบดูดต่ำกว่า 40 ครั้งต่อนาทีก็ตาม

แต่ถ้าหากคุณแม่จำเป็นต้องปั๊มน้ำนมนานกว่า 4 เดือนขึ้นไปก็ควรเลือกเครื่องปั๊มน้ำนมที่มีรอบดูดมากกว่า 40 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป จะทำให้การปั๊มน้ำนมออกมาได้มากกว่า

2.ขนาดของเครื่องปั๊ม

สำหรับคุณแม่ที่เดินทางบ่อย หรือคุณแม่ที่ต้องขนย้ายเครื่องปั๊มน้ำนมบ่อยๆ ก็ควรพิจารณาถึงเรื่องขนาดของเครื่องปั๊ม เพื่อความสะดวกของคุณแม่เอง

3.แหล่งพลังงานที่ใช้

เครื่องปั๊มน้ำนมแต่ละรุ่นนั้น ใช้แหล่งพลังงานต่างกัน บางรุ่นก็ชาร์จไฟบ้านได้อย่างเดียว ในขณะที่บางรุ่นก็ใช้ได้ทั้งไฟบ้านและถ่านแบตเตอรี่ โดยที่ถ่านแบตเตอรี่นั้นก็มีทั้งแบบชาร์จไฟได้หรือแบบใช้แล้วทิ้งบางรุ่นก็มีสายชาร์จสำหรับใช้ในรถยนต์มาให้ด้วย คุณแม่สามารถเลือกเครื่องปั๊มน้ำนมได้ตามสถาณการณ์อย่างเช่น หากต้องเดินทางบ่อยๆ หรือต้องไปในสถานที่ๆ ไม่มีปลั๊กไฟให้เสียบ ก็อาจจะเลือกซื้อเครื่องปั๊มแบบที่สามารถใช้ถ่านแบตเตอรี่ได้ เป็นต้น

4.เสียงของเครื่องปั๊ม

เครื่องปั๊มน้ำนมไฟฟ้านั้น ปกติแล้วจะทำงานด้วยกลไกของมอเตอร์ที่จะทำให้มีเสียงเวลาที่คุณแม่ปั๊มน้ำนมคุณแม่จึงต้องพิจารณาถึงเรื่องของเสียงที่จะไปรบกวนลูกที่กำลังหลับอยู่ หรือหากสถาณที่ปั๊มไม่เป็นการส่วนตัวก็ต้องระวังเสียงจากเครื่องปั๊มจะไปรบกวนคนรอบข้างได้

สิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกเครื่องปั๊ม

ทำความสะอาดง่าย
กรวยมีขนาดพอดีกับเต้านม รู้สึกสบายขณะใช้ ไม่ทำให้เจ็บหัวนมหรือทำให้ผิวหนังถลอก
ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
มีเอกสารแนะนำวิธีใช้ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
ราคาของเครื่องปั๊มน้ำนมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
เครื่องปั๊มน้ำนมชนิดปั๊มได้ครั้งละ 2 ข้าง จะสะดวกรวดเร็วกว่า และกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนโปรแลกตินได้มากกว่า แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
ข้อคิดก่อนเลือกเครื่องปั๊ม

  1.คุณแม่ควรนึกถึงว่าต้องใช้งานเครื่องปั๊มน้ำนมบ่อยแค่ไหน ถ้าใช้ไม่บ่อย ใช้แค่บางเวลา ก็ควรเลือกเครื่องปั๊มแบบที่ใช้มือที่ราคาไม่แพงจะเหมาะสมกว่า

  2.ควรเลือกซื้อเครื่องปั๊มที่ผลิตจากบริษัทที่เชื่อถือได้ มีการรับประกันสินค้าและมีบริการหลังการขายหรือแผนกให้ความช่วยเหลือลูกค้า ที่สำคัญคือเรื่องของการรับทำความสะอาดเครื่องปั๊มเพื่อให้น้ำนมแม่นั้นปลอดเชื้อก่อนที่จะนำไปป้อนให้เจ้าตัวน้อย

เครื่องปั๊มน้ำนมที่มีคุณภาพนั้นจะช่วยให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำได้ง่ายขึ้น และหากคุณแม่ใช้เครื่องปั๊มที่ด้อยคุณภาพ ก็อาจทำให้เจ็บและเสียเงินเปล่า ก่อนที่จะเลือกใช้เครื่องปั๊มคุณแม่จึงควรตรวจสอบข้อมูลหรือสอบถามจากคุณแม่ท่านอื่นที่เคยใช้งาน แล้วพิจารณาดูว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองที่สุด

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 18 มีนาคม 2564, 02:21:29 pm
อาหารเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันสู้ไวรัส

สุขภาพที่ดี แข็งแรงสมบูรณ์ในยุคปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และเจ้าตัวน้อย นอกจากเรื่องของใช้เด็กต่างๆแล้ว อาหารดีก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่น้อยกันเลยทีเดียว วันนี้เราจะนำเคล็ดลับการเลือกอาหารดีๆ ผัก ผลไม้ และสมุนไพรไทย เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันสู้ไวรัสให้กับร่างกายมาฝากกันจ้า

ผัก ผลไม้ สมุนไพร ที่มีคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเราได้ ผักหลากหลายชนิดก็หาทานได้ง่าย และเป็นอาหารที่มีอร่อยด้วย อย่างเห็ดต่าง ๆ เช่น เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดออรินจิ หรือ เห็ดหลินจือ รวมถึง สมุนไพรอย่าง ตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม) และ พลูคาว หรือ ผักคาวตอง ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินซีสูง

ทำไมร่างกายของเราถึงต้องการวิตามินซี เพราะวิตามินซี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถป้องกันหวัด ภูมิแพ้ ป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียต่างๆได้ โดยแหล่งวิตามินซีใกล้ตัวที่คุณพ่อและคุณแม่สามารถหาพบได้ตามผักและผลไม้มีอยู่มากมาย

อันดับผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง

มะขามป้อม วิตามินซี 276 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
ฝรั่ง วิตามินซี 160 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
ลิ้นจี่ วิตามินซี 71.5 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
สตรอเบอร์รี่ วิตามินซี 58.8 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
ส้ม วิตามินซี 53.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

อันดับผักที่มีวิตามินซีสูง

ผักคะน้า วิตามินซี 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
ใบมะรุม วิตามินซี 141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
ผักปวยเล้ง วิตามินซี 120 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
บรอกโคลี วิตามินซี 89.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
พริกหวาน วิตามินซี 80.4 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

รวมถึงผักไทยอีกหลายชนิดอย่าง อาทิเช่น ดอกขี้เหล็ก ยอดมะยม ใบเหลียง ยอดสะเดา มะระขี้นก ฟักข้าว ผักเชียงดา คะน้า มะรุม ผักแพว ฯลฯ

ผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

ลูกหม่อน และ ผัก ผลไม้หลากสีอย่าง สตอเบอรี่ มังคุด ฟักทอง หรือผักผลไม้ที่เราชื่นชอบที่มีสีสันหลากหลาย จะมีแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารเฟลโวนอยด์ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ก็ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ดีเช่นกัน ชอบสีไหน ชอบผักผลไม้อะไร อย่าลืมใส่เติมไปไว้ในเมนูอาหารประจำวันกันนะจ๊ะ

นอกจากนี้ นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐศิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เค้ายังแนะนำว่า ผักและผลไม้ และยาสมุนไพรของไทยหลายๆ ชนิดเลยที่มีศักยภาพป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ด้วย อย่างผักผลไม้ที่มีสารเคอร์ซีติน (Quercetin) เช่น พลูคาว หรือ ผักคาวตอง หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุมใบหม่อน แอปเปิ้ล และผักผลไม้ ที่มีสารเฮสเพอริคิน (hesperidin) และรูติน (rutin) เช่น ส้ม มะนาว มะกรูด ส้มซ่า รวมถึง กะเพรา ที่มีโอเรียนทิน (Orientin) ก็ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของร่างกายเราได้

หากรู้แบบนี้กันแล้ว คุณพ่อและคุณแม่มาลองสร้างสรรค์เมนูในแต่ละวันของครอบครัวและของเจ้าตัวน้อยให้มีผักผลไม้ที่มีสรรพคุณเด็ดๆ เหล่านี้เป็นส่วนประกอบด้วยดีกว่าส่วนคุณพ่อและคุณแม่ท่านใดมีเมนูอะไรที่น่าสนใจแล้วล่ะก็ สามารถแนะนำกันมาได้จ้า หรือจะลองนำผักและผลไม้ต่างๆมาสกัดเป็นน้ำผลไม้ก็ได้เช่นกัน โดยสามารถนำไปเป็นส่วนผสมในอาหารหรือในน้ำนมของคุณแม่ที่ได้ใช้เครื่องปั๊มน้ำนมออกมาให้เจ้าตัวน้อยได้อีกทาง แต่ควรเริ่มต้นด้วยการผสมทีละน้อยโดยไม่ทำให้รสชาติน้ำนมของคุณแม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากจนเกินไป ก็จะทำให้เจ้าตัวน้อยกินผักและผลไม้ได้ง่ายขึ้น

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2019/07/3l.png)
นอกจากอาหารแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้คุณพ่อ คุณแม่ และเจ้าตัวน้อยมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอในแต่ละวัน การออกกำลังกาย และจิตใจที่มีความสุข การติดตามข่าวสารสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าแล้วก็อย่าเครียดมากจนเกินไป นอกจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ยังสามารถเลือกหาการพักผ่อนจากกิจกรรมอื่นๆได้ โดยอาจจะหาเพลงเพราะๆฟัง หาหนังสือมาอ่านเล่น ก็สามารถช่วยทำให้คุณพ่อและคุณแม่มีความสุขกันขึ้นได้ไม่ยาก เมื่อคุณพ่อและคุณแม่มีความสุข ผ่อนคลายแล้ว ก็จะส่งผลให้เจ้าตัวน้อยมีความสุขและอารมณ์ดีตามไปด้วยเช่นกัน  https://www.baby8slot.com/  ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อ คุณแม่ และเจ้าตัวน้อยกันด้วยจ้า




จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 22 มีนาคม 2564, 12:44:36 pm
การเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด

การเตรียมการและเตรียมตัวของคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่ส่วนมากมักจะมีความกังวลใจ ในการอาบน้ำให้ลูกน้อยเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะในการเลือกอุปกรณ์อาบน้ำที่เป็นของใช้เด็กอ่อน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเลือกซื้ออะไรดี เตรียมอะไรดี เตรียมอะไรบ้าง เพราะในปัจจุบันนี้มีตัวเลือกที่เป็นอุปกรณ์เสริมในการอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยมากมาย จนทำให้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกซื้ออะไรดี เลือกซื้ออย่างไร เพราะมีหลากหลายแบบ หลากหลายยี่ห้อ ก่อนเลือกซื้อ ก่อนตัดสินใจอยากให้คุณพ่อและคุณแม่มือใหม่ทุกๆท่านทำใจเย็นๆมีสติ เรามาเช็คลิสต์ 9 ของใช้ที่จำเป็นในการอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อย อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในการอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยได้ง่ายขึ้น เรามาดูกันเลยว่ามีอะไรกันบ้างค่ะ


(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2018/10/sq.jpg)
 

1.อ่างอาบน้ำ อ่างอาบน้ำเป็นสิ่งของจำเป็นในการอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อย ปัจจุบันอ่างอาบน้ำมีให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ หลายขนาด ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ แบบมีขาตั้งและไม่มีขาตั้ง  ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ช่วงอายุและขนาดตัวของเจ้าตัวน้อย เช่น อ่างอาบน้ำขนาดเล็กเหมาะกับเด็กทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 1 ขวบ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกวัสดุที่แข็งแรงและควรเลือกชนิดที่มีการติดที่กั้นกันลื่นเพื่อความปลอดภัยไว้ด้วย

2.ตาข่ายรองอาบน้ำเด็ก ใช้สำหรับพยุงตัวเจ้าลูกน้อยเวลาอาบน้ำ และเพื่อความสะดวกและปลอดภัย ซึ้งคุณพ่อคุณแม่ส่วยใหญ่จะเลือกใช้ตาข่ายมากกว่าเลือกใช้เก้าอี้ เพราะเก้าอี้มักจะเกะกะอ่างอาบน้ำ

3.ม้านั่งหรือเก้าอี้ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกใช้อ่างอาบน้ำขนาดเล็ก คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะเลือกเก้าอี้ที่มีขนาดพอดีเวลาที่นั่งอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อย เพราะถ้าเลือกขนาดของเก้าอีกไม่เหมาะจะทำให้ปวดเมื่อยหลังได้ เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกขนาดที่พอเหมาะ เพื่อความสะดวกและไม่ทำให้ปวดหลัง

4.ฟองน้ำหรือผ้านุ่ม ฟองน้ำควรเลือกซื้อแบบที่เป็นธรรมชาติอาจจะราคาสูงกว่าฟองน้ำทั่วๆไป แต่จะนุ่มเป็นพิเศษและซับน้ำได้ดี หรือจะใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มก็ได้ค่ะ เอาไว้สำหรับชุบน้ำแล้วบีบอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อย โดยเฉพาะเวลาสระผม จะทำให้สะดวกและอ่อนโยนเวลาอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อย สำหรับฟองน้ำและผ้าขนหนู ควรที่จะผึ่งให้แห้งทุกครั้งหลังใช้งานเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา และอับชื้น

5.เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิน้ำ เทอร์โมมิเตอร์เป็นตัวช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำที่เตรียมไว้ให้ลูกน้อยร้อนเกินไป ควรตั้งอุณหภูมิน้ำอุ่นไว้ที่ประมาณ 48.8 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่านั้นนิดหน่อย น้ำที่ใช้ไม่ควรอุ่นเกินไป เพราะจะทำให้ผิวของเจ้าตัวน้อยแห้งแตกได้ แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดของตัวเทอร์โมมิเตอร์ที่คุณพ่อคุณแม่ใช้วัด ควรทดสอบด้วยมือซ้ำอีกครั้ง

6.แปรงสีฟันและยาสีฟัน เป็นของใช้เด็กที่เหมาะสำหรับทารกที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป การแปรงฟันสามารถใช้แปรแบบเสียบนิ้ว แปรงที่เหงือกและฟันของลูกน้อยเบาๆ และล้างด้วยน้ำเปล่าก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องการใช้ยาสีฟัน ควรเลือกยาสีฟันสำหรับเด็ก และเป็นแบบที่กลืนได้

7.สบู่และแชมพู ในปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับเด็กอ่อนมากมายหลากหลายชนิดหลากหลายยี่ห้อ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกซื้อแบบหัวปั้มเพื่อความสะดวกในการใช้งาน และควรเลือกซื้อแบบที่ใช้อาบน้ำและสระผมได้ในขวดเดียวกัน และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของธรรมชาติให้มากที่สุด เพื่อป้องกันเกิดการระคายเคืองของเจ้าตัวน้อย

8.ผ้าเช็ดตัว ควรเลือกผ้าที่มีความนุ่มและซับน้ำได้ดี ไม่เก็บฝุ่น ถ้าเป็นผ้านาโนจะเนื้อนิ่มแระแห้งเร็วกว่าผ้าขนหนู คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมผ้าเช็ดตัวสำหรับห่อตัวลูกหลังอาบน้ำ 1 ผืน และผ้าขนหนูเช็ดตัวลูก 2 ผืน เพื่อสลับกันใช้

9.สำลี การใช้สำลีในการทำความสะอาดควรเลือกใช้สำลีที่ผ่านการฆ่าเชื้อ สะอาด ปลอดภัย

ควรเลือกใช้สำลีที่ผลิตจากธรรมชาติ ควรเตรียมสำลีไว้หลายๆแบบ เช่น สำลีก้านเล็กเอาไว้ใช้เช็ดรูจมูก สำลีแผ่นเอาไว้ใช้เช็ดตามจุดต่างๆเช่น.ปาก รอบดวงตา ทำความสะอาดจุดต่างๆ เป็นต้น

การเตรียมอุปกรณ์ของใช้เด็กอ่อนสำหรับอาบน้ำ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เข้าใจ ขอแค่มีสติ อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เพราะในปัจจุบันสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยหาซื้อได้ง่าย

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 24 มีนาคม 2564, 01:37:15 pm
การเลือกจุกนมและการรักษาและฆ่าเชื้อ ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรรู้

 
การเลือกจุกนม

จุกนมเป็นอีกของใช้เด็กที่มีหลากหลายรูปแบบ มีไซส์ให้เลือกมากมายตามอายุของลูก เด็กแรกเกิดควรเลือกไซส์ S หรือ SS ซึ่งมีรูเล็ก เพราะเด็กจะดูดได้ช้าและน้อย เนื่องจากกล้ามเนื้อในช่องปากและระบบการกลืนยังไม่ค่อยมีแรง ถ้ารูกว้างไปจะทำให้เด็กสำลักได้ เมื่อลูกโตขึ้น ทานนมได้เยอะขึ้นค่อยเปลี่ยนไซส์ให้ใหญ่ขึ้น รูที่จุกนมให้ญ่ขึ้นจะทำให้น้ำนมไหลเร็วขึ้น เพียงพอต่อความต้องการของเจ้าตัวน้อย จุกนมมีอายุการใช้งานประมาณ 3 เดือน จึงควรเลือกเปลี่ยนจุกนมทุก 2-3 เดือน

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2020/03/4m.jpg)

จุกนมมี 2 ชนิดได้แก่

จุกนมยาง จุกนมที่ทำจากยางพาราจะเป็นสีน้ำตาล มีความนิ่มมากกว่าจุกนมซิลิโคน ทนความร้อน 100 ˚ C มีอายุการใช้งานปกติ 3 เดือน แต่หากผ่านความร้อนสูงหรือนึ่งฆ่าเชื้อบ่อย อายุการใช้งานอาจเหลือไม่ถึง 1 เดือน

จุกนมซิลิโคน เป็นสีขาวใส มีความทนทานและอายุการใช้งานได้มากกว่าจุกนมยาง ทนความร้อน 120 ˚ C มีอายุการใช้งาน 6 เดือน ถ้าดูแลอย่างถูกวิธี แต่อายุการใช้งานอาจเหลือ เดือนครึ่ง ถึง 2 เดือนหากผ่านความร้อนสูงหรือนึ่งฆ่าเชื้อบ่อยเกินไป

นอกจากนี้เด็กแต่ละคนยังมีแรงดูดที่แตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกต ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าตัวน้อยดูดนมไปได้สักพักแล้วร้องโยเย หรือหลับไปไม่นานก็ตื่นเพราะหิว นั่นอาจจะเป็นเพราะว่ารูจุกนมเล็กเกินไป น้ำนมไหลไม่ทันใจ คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนจุกนม หรือเจาะรูให้ใหญ่ขึ้นโดยใช้เข็มเย็บผ้าที่ฆ่าเชื้อแล้ว จุกนมถือว่าเป็นของใช้เด็กที่เจ้าตัวน้อยต้องใช้ทุกวันคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกต การกินนมของเจ้าตัวน้อยบ่อยๆ ว่าจุกนมที่เจ้าตัวน้อยดูดนมนั้นมีรูที่ขนาดพอดีหรือไม่

จำเป็นต้องนึ่งขวดนม จุกนมทุกวันหรือไม่?

พ.ญ.สิทธิ์ธีราห์ ชโรเดอร์ อธิบายไว้ว่า การนึ่งหรือการต้มขวดนมและจุกนมทุกวันจะทำให้ขวดนมพลาสติกและจุกนมเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ การล้างด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ หรือล้างด้วยน้ำร้อนผสมน้ำยาล้างขวดนมหลังการใช้งานก็เพียงพอแล้วนั่นเอง

การขยันทำให้ปลอดเชื้อมากเกินไป กลับเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมให้กับเชื้อที่ทนความร้อน และสร้างสปอร์ได้เพิ่มมากขึ้น และเจ้าตัวน้อยอาจจะได้รับสารจำพวกโพลีเมอร์ หรือฟอร์มัลดีไฮด์ปนเปื้อนออกมาจากพลาสติกที่เสื่อมสภาพแทนได้

ทั้งนี้สามคมกุมารแพทย์อเมริกัน และ USFDA แนะนำให้ต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อขวดนม และอุปกรณ์ปั๊มนมเฉพาะครั้งแรกที่ใช้งาน จากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำยาล้างขวดนมผสมน้ำอุ่น ทุกครั้งหลังการใช้งานก่อนผึ่งให้แห้ง โดยไม่ให้ใช้ผ้าเช็ด

กรณีที่ต้องต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อทุกวัน คือช่วงที่ทารกมีอาการป่วย เช่น ท้องร่วง หรือ เป็นฝ้าขาวในปาก คุณพ่อคุณแม่ที่กังวล อาจนึ่งหรือต้ม ทุกๆ 3-4 วัน สำหรับนมชง อาจนึ่งหรือต้มทุกๆ 1 สัปดาห์สำหรับนมแม่ หากมีการปล่อยให้นมบูดคาขวด ต้องต้มหรือนึ่งฆ่าเชื้อใหม่เสมอ

อย่างไรก็ตาม ไม่มีกฎตายตัว หากบ้านไหนมีสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด อยู่ใกล้แหล่งเพราะพันธุ์เชื้อโรคอาจพิจารณาการต้มหรือนึ่งให้บ่อยขึ้นได้ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีความกังวลมาก หรือมีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าเชื้อทุกวันจริงๆ แนะนำให้ใช้ขวดนมแบบแก้วแทนพลาสติกแทนจะดีกว่า หรือขยันเปลี่ยนขวดนมพลาสติกตามอายุการใช้งาน หรือใช้ยาฆ่าเชื้อสำหรับแช่ขวดนมโดยเฉพาะผสมกับน้ำเย็น แช่ขวดนมแทนการต้มฆ่าเชื้อ ก็มีประสิทธิภาพสูง และถนอมพลาสติกได้ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก พ.ญ. สิทธิ์ธราห์ ชโรเดอร์

ขวดนมและจุกนม เป็นของใช้เด็กที่คุณพ่อคุณแม่ควรเอาใจใส่ดูแล เพราะขวดนมและจุกนมถือเป็นการดูแลเจ้าตัวน้อยด้านโภชนาการและความปลอดภัยที่มีความสำคัญกับสุขภาพและพัฒนาการที่ดีของเจ้าตัวน้อย


จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 29 มีนาคม 2564, 02:08:58 pm
ของใช้ที่คุณแม่และคุณพ่อมือใหม่ทุกคนควรเตรียม

การเตรียมตัวของคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่ทุกคน สำหรับคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่บางท่านอาจจะตื้นเต้นจนคิดไม่ออกว่าจะต้องเตรียมสิ่งของอะไร เพื่อเป็นของใช้เด็กให้เจ้าตัวน้อยที่จะมาเป็นสมาชิกใหม่ เพื่อให้พร้อมใช้งานวันแรก และสัปดาห์แรกที่ลูกน้อยคลอดออกมา ซึ่งหากไม่แน่ใจว่าจะต้องเตรียมของใช้เด็กแรกเกิดอะไรบ้าง เราลองมาดูว่าของใช้เด็กแรกเกิดที่จำเป็น มีอะไรบ้างที่คุณพ่อและคุณแม่ต้องเตรียมบ้างในเบื้องต้น

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2018/10/x9.jpg)

1.ผ้าอ้อม เป็นของใช้เด็กอ่อนที่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อม สำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูป ในสัปดาห์แรกคุณพ่อและคุณแม่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมอย่างน้อยๆ 2 แพ็คใหญ่ ส่วนผ้าอ้อมผ้าควรเตรียมอย่างน้อยๆ 2 โหล ซึ่งในปัจจุบันนี้ผ้าอ้อมมีให้เลือกมากมายหลากหลายแบบ หลากหลายแบรนด์ ให้เลือก วัสดุที่นำมาใช้ทำผ้าอ้อมในปัจจุบันมีหลากหลายเนื้อ เช่น. ผ้าอ้อมคอตตอน ผ้าอ้อมคอตตอนออแกนิค ผ้าอ้อมคอตตอน 100% ผ้าอ้อมใยไผ่ ผ้าอ้อมสาลู ผ้าอ้อมสาลูใยฝ้าย 100% ผ้าอ้อมสำลี เป็นต้น.

2.ชุดเครื่องนอน สำหรับชุดเครื่องนอนเป็นของใช้เด็กแรกเกิดที่ควรเตรียมให้พร้อม ทั้งเบาะ หมอน ผ้าห่ม เตียงนอนสำหรับเด็ก เปลนอนสำหรับเด็ก ก็มีให้เลือกซื้อหามากมายหลากหลายแบบ ควรเลือกของใช้เด็กแรกเกิดที่ผลิตจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีตกค้าง อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้

3.แชมพูอาบน้ำหรือสบู่อาบน้ำ และแชมพูสระผม แชมพูสระผมและแชมพูอาบน้ำหรือสบู่อาบน้ำ รวมถึงอุปกรณ์อาบน้ำสำหรับเด็กอ่อนที่เป็นของใช้เด็กอ่อนที่จำเป็นต่างๆ ควรเตรียมไว้ให้พร้อม และอย่าลืมฝึกอาบน้ำเด็กแรกเกิดจากคุณพยาบาลที่สาธิตให้ดูด้วยนะคะ เพื่อที่จะได้กลับมาอาบน้ำให้ลูกน้อยที่บ้านได้อย่างถูกต้อง ซึ่งผลิตภัณฑ์ ที่คุณพ่อและคุณแม่ ควรเลือกซื้อนั้นควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นสูตรอ่อนโยนต่อลูกน้อง ไม่มีสารที่ก่อความระคายเคืองต่อลูกน้อยของเรา ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

4.อ่างอาบน้ำ อีกหนึ่งของใช้เด็กแรกเกิดที่ควรต้องเตรียมไว้ให้พร้อม ควรมีอย่างน้อย 1 ใบ ไว้สำหรับอาบน้ำเด็กแรกเกิด ซึ่งอ่างอาบน้ำเด็กนั้นมีให้เลือกมากมายหลากหลายแบบ ซึ้งขึ้นอยู่กับขนาดตัวของเด็กควรเลือกซื้อให้เหมาะสม เช่นอ่างอาบน้ำขนาดเล็กจะเหมาะกับเด็กแรกเกิดเดือนแรกจนถึง 1 ขวบ บางแบบสามารถใช้ได้ถึงอายุ 2-3 ขวบ คุณพ่อและคุณแม่ควรเลือกซื้ออ่างอาบน้ำที่ผลิตจากวัสดุที่มีความทนทาน แข็งแรง

5.ผ้าขนหนู ของใช้เด็กที่ขาดไม่ได้เลยก็คือผ้าขนหนู ที่ใช้ทั้งสำหรับเช็ดตัวลูกน้อยหลังอาบน้ำ หรือใช้ห่อก่อนใส่เสื้อผ้าก็ได้ ควรเตรียมไว้ให้พอประมาณ 2-5 ผืน การเลือกผ้าขนหนูควรเลือกผ้าที่นุ่มและซึมซับน้ำได้ดี ผ้าเช็ดตัวบางชนิดจะมีผ้าคลุมศีรษะ (HOOD) มาให้ด้วย เพราะเวลาอาบน้ำเสร็จ จะได้คลุมศีรษะลูกได้เลย ลูกน้อยจะได้รู้สึกอบอุ่นหลังจากอาบน้ำเสร็จ

6.ชุดเสื้อผ้า สำหรับเสื้อผ้าเด็กแรกเกิดถือเป็นอีกหนึ่ง ของใช้เด็กแรกเกิดที่มีความจำเป็นไม่แพ้ ของใช้เด็กแรกเกิดชนิดอื่นๆ คุณพ่อและคุณแม่ไม่ควรเลือกซื้อเสื้อผ้าสำหรับลูกน้อยมากเกินไป เพราะเด็กจะโตเร็วมากใน 3 เดือนแรก ควรเตรียมเสื้อผ้าเด็กแรกเกิดให้มี เสื้อ และกางเกงที่สวมใส่ง่าย สบายตัวลูก เสื้อและกางเกง 5-7 ชุด ถุงมือ ถุงเท้า อย่างล่ะ 2 คู่ รองเท้า 1 คู่ หมวก 1 ใบ

7.กรรไกรตัดเล็บ เป็นอีก หนึ่งของใช้เด็กแรกเกิดที่ควรมีเตรียมพร้อมไว้ เพราะเด็กทารกแรกเกิดเล็บจะยาวเร็วมาก ในช่วงเดือนแรกๆ คุณพ่อและคุณแม่ อาจจะต้องตัดเล็บให้ลูกน้อยสัปดาห์ล่ะ 2 ครั้ง ดังนั้นควรเตรียมกรรไกรตัดเล็บสำหรับเด็กแรกเกิดไว้ให้พร้อม

8.คอตตอนบัดและสำลีแผ่น ถือเป็นของใช้เด็กอ่อนทีต้องใช้ทุกวัน สำหรับใช้เช็ดทำความสะอาดดวงตา และใช้เช็ดทำความสะอาดสะดือลูกน้อย และใช้เช็ดทำความสะอาดชำระสิ่งสกปรกให้ลูกน้อย

9.ปรอทวัดไข้ เป็นอีกหนึ่งสิ่งของใช้เด็กแรกเกิด ที่จะขาดไปไม่ได้และจำเป็นต้องมี เพราะบางครั้งลูกน้อยอาจมีอาการไม่สบายเกิดขึ้นได้ คุณพ่อและคุณแม่ควรเตรียมปรอทวัดไข้สำหรับวัดอุณหภูมิร่างกายเจ้าตัวน้อยให้พร้อมหยิบใช้งานได้ตลอดเวลา

การเตรียมการของใช้ของคุณแม่และเจ้าตัวน้อย จะเห็นได้ว่าไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คุณพ่อและคุณแม่คาดคิดกันไป ของใช้เด็กแรกเกิดของเจ้าตัวน้อยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสามารถหาซื้อได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วไม่ว่าจะซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์หรือ แอปพริเคชั่น ช็อปปิ้งออนไลน์ต่างๆ

บทความโดย  www.baby8slot.com ตัวแทนจำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท เครื่องปั้มน้ำนม
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 30 มีนาคม 2564, 01:19:19 pm
การเตรียมตัวเบื้องต้นของคุณแม่มือใหม่เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์

สำหรับสาวๆที่กำลังจะเป็นคุณแม่มือใหม่ ที่เพิ่งทราบว่าตนกำลังตั้งครรภ์กำลังจะมีเจ้าตัวน้อย ในช่วงเวลา 9 เดือนต่อจากนี้ที่คุณจะได้พบกับความมหัศจรรย์จากธรรมชาติที่จะได้เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข หากไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร ต้องเตรียมความพร้อมอะไรบ้าง หรือต้องเลือกซื้อของใช้แม่และของใช้เด็กอย่างไร www.baby8slot.com จะบอกเคล็ดลับ และการเตรียมตัวง่ายๆ เพื่อพัฒนาการที่ดีและความปลอดภัยของคุณแม่และเจ้าตัวน้อยมาฝากกัน

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2018/10/dk-1.jpg)

ต้องรีบฝากครรภ์ทันทีในโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน
หลังจากที่คุณแม่มือใหม่แจ้งข่าวดีให้คุณพ่อมือใหม่ได้ทราบแล้ว ควรรีบจูงมือพากันไปฝากครรภ์ทันที เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจเช็คร่างกายของคุณแม่อย่างละเอียด หากตรวจพบเจอโรคแทรกซ้อนจะได้รีบทำการรักษากันตั้งแต่ที่เริ่มตั้งครรภ์ และหากคุณแม่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรแจ้งคุณหมอตั้งแต่ตอนฝากครรภ์ เพื่อประเมินอาการและลดความเสี่ยงหรืออันตรายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่ได้รับคำแนะนำที่ดีจากคุณหมอ คุณพ่อและคุณแม่มือใหม่ควรจะทำตามคำแนะนำที่ได้รับเพื่อใช้ในการดูแลตัวเองและเจ้าตัวน้อยอย่างถูกวิธี

 

ศึกษาหาข้อมูลต่างๆที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์
หลังจากการฝากครรภ์กับคุณหมอเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อและคุณแม่มือใหม่ควรต้องช่วยกันศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ยา วิตามินว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรรับประทานระหว่างตั้งครรภ์เพื่อพัฒนาการที่ดีของเจ้าตัวน้อย และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อเจ้าตัวน้อยด้วย รวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของอาการแพ้ท้องต่างๆ เพื่อที่คุณพ่อและคุณแม่มือใหม่จะได้รับมือได้อย่างสบายใจ

 

ข้อควรระวังในการใช้ชีวิตประจำวัน
คุณแม่มือใหม่สามารถใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การออกกำลังกายได้อย่างปกติ แต่ต้องไม่ใช่งานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังในการยกของหนัก ในเรื่องของการออกกำลังกาย คุณแม่มือใหม่ควรปรึกษาหมอเกี่ยวกับประเภทกีฬาหรือกิจกรรมที่สามารถทำได้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อย เนื่องจากการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยให้คุณแม่มือใหม่ได้มีการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการปวดหรืออาการบวมต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

 

รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองของคุณแม่ตั้งครรภ์
ช่วงที่คุณแม่มือใหม่ตั้งครรภ์จะมีอารมณ์ที่แปรปรวนมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและความกังวลต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่มือใหม่จึงควรพยายามรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง โดยจะมีคุณพ่อมือใหม่เป็นผู้ช่วยและเพื่อนที่ดีที่มีความสำคัญอย่างมากในการช่วยปรับสมดุลของอารมณ์ของคุณแม่มือใหม่ให้กลับมาสู่สภาวะปกติเพื่อให้คุณแม่มือใหม่มีความผ่อนคลาย สบายใจ รู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจเพื่อพัฒนาการที่ดีของเจ้าตัวน้อยในอนาคต

 

การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่มักเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่มือใหม่แต่ละท่านอาจจะไม่เหมือนกัน แต่โดยส่วนใหญ่อาการที่ต้องเจอคือ คลื่นไส้ เวียนหัว ปวดหลัง ตะคริวที่น่อง ปัสสาวะบ่อยขึ้น อาการคัดตึงหน้าอก และอื่นๆ หรือคุณแม่มือใหม่บางท่านอาจจะมีอาการแพ้ท้องหนักมาก หากมีอาการดังที่กล่าวข้างต้นมากเกินไป ควรรีบปรึกษาคุณหมอที่คุณแม่มือใหม่ได้ไปฝากครรภ์เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และเจ้าตัวน้อย

 

เตรียมรายชื่อสิ่งของของใช้แม่และของใช้เด็กที่จำเป็น
สิ่งของที่จำเป็นสำหรับเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลกนั้นมีมากมาย แต่ต้องอย่าลืมให้ความสำคัญกับของใช้ของคุณแม่มือใหม่หลังจากคลอดเจ้าตัวน้อยด้วย ของใช้แม่และเด็กมีมากมาย อาทิเช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ขวดนม เครื่องปั้มน้ำนม น้ำยาซักล้างต่างๆ แผ่นซับบ้ำนม ผ้าคลุมสำหรับให้นม หากคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลก คุณพ่อและคุณแม่จะได้ใช้เวลากับเจ้าตัวน้อยได้อย่างมีความสุข



หัวข้อที่ได้กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวต้อนรับเจ้าตัวน้อยให้กับคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่เท่านั้น หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจอ่านบทความอื่นๆ ที่มีประโยชน์และน่าสนใจ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่

บทความจาก https://www.baby8slot.com

ตัวแทนจำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก คาร์ซีท รถเข็นเด็ก เครื่องปั้มน้ำนม
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 11 เมษายน 2564, 01:24:20 pm
เครื่องปั้มน้ำนม และ อุปกรณ์การกินของเจ้าตัวน้อยแรกเกิด

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2020/06/5k.jpg)

เรื่องอาหารการกิน สำหรับเจ้าตัวน้อยถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะนมแม่ที่มาจาก เครื่องปั้มน้ำนม หรือลักษณะอาหารสำหรับแต่ละช่วงวัย สารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้รับสารอาหารที่เพียงพอ แต่อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการกินของเจ้าตัวน้อยก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้สารอาหารต่างๆกันเลยทีเดียว บทความนี้เราจะมาแนะนำอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการกินสำหรับเจ้าตัวน้อยแรกเกิดกันก่อน ซึ่งอุปกรณ์สำหรับช่วงวัยนี้จะยังคงมีความสัมพันธ์ร่วมกับคุณแม่เป็นปัจจัยหลัก ซึ่งของใช้เด็ก ต่างๆมีมากมายหลากหลายอาทิเช่น

เครื่องปั้มน้ำนม – การเลี้ยงเจ้าตัวน้อยด้วยน้ำนมแม่สำหรับคุณแม่ในยุคปัจจุบันที่ต้องทำงานประจำและไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าตัวน้อยด้วยกันตลอด จึงควรมีการปั้มน้ำนมเพื่อเก็บไว้เป็นสต๊อกสำหรับเจ้าตัวน้อยเวลาหิวในระหว่างวันที่คุณแม่ไม่อยู่ โดยเครื่องปั้มน้ำนมมีจะมี 2 ประเภทคือ 1. เครื่องปั้มแบบมือ 2. เครื่องปั้มแบบไฟฟ้า ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อแตกต่างกันทั้งในเรื่องราคา ความรวดเร็วในการปั้ม วิธีการใช้งาน ซึ่งก่อนการเลือกซื้อคุณแม่ควรจะต้องดูความเหมาะสมในการใช้งานและปริมาณน้ำนมของคุณแม่เป็นหลักก่อนการตัดสินใจซื้อ

ถุงเก็บน้ำนม – เป็นอุปกรณ์ที่ต้องมีคู่กับเครื่องปั้มน้ำนม โดยควรเลือกซื้อแบบที่มีซิปล็อกอย่างน้อย 2 ชั้น ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายยี่ห้อที่ดีและราคาไม่แพง

เครื่องอุ่นนม – สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ที่มีกำลังพอสำหรับเจ้าตัวน้อย เครื่องอุ่นน้ำนมสำหรับนมสต๊อกก็เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณพ่อและคุณแม่ หรือญาติพี่น้องที่จะมาช่วยดูแลเจ้าตัวน้อยแทนคุณพ่อและคุณแม่ในระหว่างวันได้ หากไม่สะดวกก็สามารถใช้วิธีการอุ่นด้วยการแช่ในน้ำอุ่นในอุณหภูมิที่เหมาะสมแทนก็ได้เช่นกัน แต่ไม่แนะนำให้อุ่นในน้ำร้อนจัดหรือเข้าไมโครเวฟ เนื่องจากจะทำให้คุณค่าทางสารอาหารในน้ำนมของคุณแม่เสียไป

ขวดนม – ขวดนมจะมี 2 แบบ คือแบบขวดพลาสติกและแบบขวดแก้ว ขวดที่ผลิตมาจากพลาสติกจะเป็นแบบที่มีความนิยมมากกว่าเนื่องจากขวดแก้วจะมีน้ำหนักและราคาที่สูงกว่า โดยขนาดและจำนวนที่เหมาะสมในเบื้องต้นคือ ขนาด 4 ออนซ์ จำนวน 4 ขวด และขนาด 9 ออนซ์ จำนวน 4 ขวด หากคุณแม่เลือกขวดนมในลักษณะที่ผลิตจากพลาสติก คุณแม่ควรเลือกซื้อขวดพลาสติกที่ปลอดสารบีพีเอ (BPA Free) และผลิตจากพลาสติกชั้นดีที่สามารถทนความร้อนได้สูงกว่า 120 องศา เพื่อที่เวลานึ่งขวดนมสำหรับการฆ่าเชื้อก่อนการใช้งาน พลาสติกของขวดนมจะได้ไม่ละลาย แต่หากคุณแม่เลือกใช้ขวดนมแบบขวดแก้ว ข้อควรระวังคือการตกแตกของขวดนม และอาจเป็นอันตรายต่อเจ้าตัวน้อยได้

เครื่องนึ่งขวดนม – ควรเลือกขนาดที่ใหญ่พอจะใส่ขวดนมได้ทีละหลายใบ เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการใช้งาน

กระปุกแบ่งนมผง – กระปุกที่เลือกซื้อควรมีอย่างน้อย 3 ชั้น เพื่อการเตรียมนมผงล่วงหน้าสำหรับเจ้าตัวน้อยให้ครบ 3 มื้อ และกระปุกนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้คุณพ่อและคุณแม่ง่ายต่อการเทนมผงลงในขวดนมด้วย

จุกนมหลอก – จุกนมหลอกจะมี 3 ขนาด คือ S M L แต่ละขนาดจะเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย ควรเปลี่ยนขนาดและอายุการใช้งานตามที่ผู้ผลิตแนะนำ และต้องเลือกแบบที่สามารถทนความร้อนได้ถึง 120 องศาเพื่อที่เวลาทำความสะอาดหรือการนึ่งฆ่าเชื้อจุกนมจะได้ไม่ละลาย สำหรับปัจจุบันจุกนมหลอกจะทำมาจาก 2 วัสดุคือ ทำมาจากยางพารา ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่ให้สัมผัสนิ่มคล้ายหัวนมของคุณแม่ แต่จะมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่า ส่วนอีกหนึ่งวัสดุคือ จุกนมหลอกที่ทำมาจากซิลิโคน ซึ่งจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า แต่จะไม่นิ่มเท่าแบบที่ผลิตจากยางพารา

***ในช่วงวัยที่เจ้าตัวน้อยแรกเกิดถึง 1 เดือนแรก ยังไม่ควรให้ใช้จุกนมหลอก เนื่องจากอาจจะทำให้เจ้าตัวน้อยสับสนระหว่างหัวนมจริงของคุณแม่และจุกนมหลอก อาจจะทำให้เจ้าตัวน้อยไม่ยอมกินนมจากหัวนมของคุณแม่ได้

 

การเตรียมอุปกรณ์การกินและ ของใช้เด็ก อื่นๆของเจ้าตัวน้อยไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เนื่องจากในปัจจุบันมีบทความที่เป็นประโยชน์ที่สามารถแนะนำวัสดุอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่มากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดคือ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก คุณพ่อและคุณแม่สามารถอ่านบทความที่เป็นประโยชน์อื่นๆเพิ่มเติมได้ที่

https://www.baby8slot.com ตัวแทนจำหน่าย สินค้าแม่และเด็ก ของใช้แม่และเด็ก เครื่องปั้มน้ำนม ของใช้เด็กแรกเกิด ชุดของขวัญเด็กแรกเกิด คาร์ซีท รถเข็นเด็ก ถุงเก็บน้ำนม แผ่นซับน้ำนม ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 12 เมษายน 2564, 12:57:04 pm
คาร์ซีท Aprica รุ่น Cururila สำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Aprica-Cururila-Dimension-01-1.jpg)

คาร์ซีทปรับหมุนได้ 360 องศา

หมุนง่ายด้วยมือเดียว เพื่อความสะดวกในการอุ้มลูกน้อยขึ้น-ลงคาร์ซีท



ปรับเอนนอนได้ 130 องศา สำหรับวัยแรกเกิด -1 ปี

Rear-Facing infant car seat  ปรับที่นั่งหันหน้าไปด้านหลังรถ ช่วยลดแรงกระแทกบริเวณต้นคอ



Newborn Support ชุดหมอนรองศีรษะและลำตัว

ชุดหมอนรองศีรษะและลำตัว ให้ความนุ่มสบาย ช่วยรองรับสรีระที่บอบบางของเด็กทารกได้เป็นอย่างดี



Marshmallow G catch

วัสดุพิเศษรองรับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ เพื่อการปกป้องลูกน้อยตลอดการเดินทาง

* วัสดุพิเศษ ลิขสิทธิ์เฉพาะ Aprica

 

BREATHAIR (บีช–แอร์)

ยังเป็นวัสดุที่ล้างทำความสะอาดได้ง่าย มีความทนทานที่ดีเยี่ยม น้ำและอากาศ ไหลซึมผ่านได้  มีคุณสมบัติที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย กับคุณสมบัติพิเศษ 3 ประการ

ระบายอากาศแห้งเร็ว ด้วยเส้นใยที่ทักทอแบบ 3 มิตินั้น จึงทำให้ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม ไม่ทำให้ร้อนหรืออับชื้น แม้กับเด็กทารกที่ร่างกายจะร้อนง่ายเป็นพิเศษ ก็จะรู้สึกสบายตัวยิ่งขึ้น

 



กระจายน้ำหนัก ลดแรงกดทับ ด้วยคุณสมบัติการกระจายน้ำหนักได้ดี ลดแรงกดทับบริเวณหลัง ช่วยให้เด็กสบายตัว ไม่รุู้สึกล้าเมื่อต้องนอนในท่าเดิมนานๆ



รองรับแรงกระแทกไร้การสั่นสะเทือน ด้วยคุณสมบัติพิเศษ ของเส้นใยถักแบบ 3 มิติ แรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากการเข็นบนพื้นที่ขรุขระ จะถูกกระจายออกผ่านช่องอากาศ ทำให้ลูกน้อยไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเหมือนรถเข็นเด็กทั่วไป ช่วยเพิ่มความนุ่มสบายได้ดีเยี่ยม

 



หมอนรอง Support ศีรษะและต้นคอ ปรับได้ 7 ระดับ

ปรับความสูงของพนักพิงศีรษะได้ 7 ระดับ รองรับการเจริญเติบโตได้ทุกช่วงวัย



ที่วางเท้าของคาร์ซีท สำหรับเด็กวัย 1 ปีขึ้นไป

ที่วางเท้าช่วยให้เด็กนั่งได้สบายมากขึ้น และยังช่วยให้เด็กสามารถทรงตัวได้ดีขึ้นอีกด้วย



เพิ่มพื้นที่รองรับช่วงขาของเด็กได้กว้างขึ้น 7 ระดับ

สามารถปรับเอนได้ถึง 7 ระดับ ทำให้รองรับเด็กในวัยเจริญเติบโตให้นั่งหันหน้าเข้าได้นานขึ้น ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย



หลังคากันยูวี ปกป้องดวงตาและผิวที่บอบบาง ช่วยสร้างบรรยากาศในการนอน

หลังคาป้องกันรังสี UV ได้ถึง 99%

ช่วยปกป้องดวงตาและผิวที่บอบบาง ช่วยสร้างบรรยากาศในการนอนได้ดี ทำให้เด็กหลับได้ยาวนานยิ่งขึ้น

   

ขาค้ำพื้นของคาร์ซีท ติดตั้งได้แน่นหนาให้ความปลอดภัยยิ่งขึ้น

คาร์ซีทที่มีขาค้ำพื้น จะช่วยให้การติดตั้งแน่นหนามากขึ้น เมื่อลูกนั่งไม่โยกเยก หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ตัวคาร์ซีทจะยังคงติดอยู่กับเบาะรถ ไม่ลื่นหลุดมาจนทำให้เด็กเกิดอันตราย



ผ้าหุ้มคาร์ซีทถอดซักทำความสะอาดได้

ถอดซักทำความสะอาดได้ทุกชิ้น ซักง่ายแห้งเร็ว สามารถถอดซักได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้คาร์ซีทที่ลูกนั่ง สะอาดปลอดภัยอยู่เสมอ

 

คาร์ซีท Aprica รุ่น Cururila

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนัก 2.5-18
ขนาดนอน : 765(W) x 630(D) x 537(H) mm.
ขนาดนั่ง : 450(W) x 630(D) x 675(H) mm.
ความสูง : 50-100
น้ำหนัก : 13.0
 

ติดตั้งคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าเบาะ สำหรับเด็กวัยแรกเกิด – 1 ปี

 

ติดตั้งคาร์ซีทแบบหันหน้าออก สำหรับเด็กวัย1 – 4 ปี

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 13 เมษายน 2564, 11:26:04 am
คาร์ซีท aprica รุ่น Fladea Grow ISOFIX คาร์ซีทปรับเป็นเตียงนอนได้ เพื่อความสบายของลูกน้อย ตลอดการเดินทาง

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Fladea-Grow_%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%90%E0%B9%97%E0%B9%90%E0%B9%98_0003.jpg)

ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX ที่ตัวล็อคเชื่อมเป็นชิ้นเดียวกับคาร์ซีท ปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล

การปรับเอนนอนราบได้ จะช่วยให้ทารกหลับได้อย่างสบาย ด้วยเบาะและช่องวางเท้าที่ยาวขึ้นเพื่อรองรับช่วงขาในท่านอน

เมื่อปรับพนักพิงให้หันหน้าเข้าเบาะแล้วยัง สามารถปรับเอนได้ถึง 2 ระดับ เพื่อให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และเมื่อปรับพนักพิงนั่งและหันหน้าออก สามารถปรับความยาวของที่วางเท้าได้ ลดความเมื่อยล้าที่ช่วงน่องของลูกน้อยได้ดี

 

คุณสมบัติ

รีวิวคาร์ซีท Aprica รุ่น Fladea Grow ISOFIX คาร์ซีทปรับนอนราบได้



คาร์ซีทแบบ 3 Step (Grow 1-2-3) ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะปรับเป็นเตียงนอน หรือปรับเป็นเก้าอี้นั่ง



Grow1 ปรับเป็นเตียงนอนราบสำหรับวัยแรกเกิดที่ติดตั้งได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย

การปรับเป็นเตียงนอนจะช่วยให้ทารกสามารถหลับได้อย่างสบาย โดยที่ลำตัวเหยียดตรงและหลับไม่งอซึ่งเป็นสรีระที่ถูกสุขลักษณะสำหรับเด็กวัยแรกเกิดอย่างแท้จริงนอกจากนั้นยังช่วยให้ไม่เกิดการปิดกั้นทางเดินหายใจบริเวณลำคอและช่วยป้องกันการกดทับบริเวณท้องของเด็กได้ดีอีกด้วย



Grow2 เมื่อลูกเริ่มชันคอได้แล้วคุณแม่สามารถเลือกติดตั้งในแบบนอนราบหรือแบบเก้าอี้นั่งก็ได้



Grow3 ติดตั้งแบบหันหน้าไปด้านหน้ารถเมื่อลูกโตเต็มวัย หรือช่วงวัย 1 ปีขึ้นไป

 



การหมุนคาร์ซีทได้ง่าย แบบ One Touch

แม้ในรถที่มีขนาดเล็กและมีพื้นที่แคบคุณแม่สามารถปรับหมุนคาร์ซีทได้อย่างง่ายดาย และเมื่ออุ้มลูกน้อยอยู่คุณก็สามารถใช้มืออีกข้างปรับหมุนคาร์ซีทได้ด้วยมือเดียวและวางลูกน้อยลงในคาร์ซีทได้อย่างสะดวกสบาย



ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยระบายความร้อนได้มากกว่า หลังคาบังแดดช่วยป้องกันรังสี UV ได้ 99%



   

การปรับเอนเมื่อปรับพนักพิงให้เอนลง เบาะรองนั่งจะเลื่อนไปด้านหน้าเพื่อที่ลำตัวของทารกจะได้ผ่อนคลายและไม่เกิดการกดทับบริเวณท้องช่วยให้หนูน้อยนอนอยู่ในท่าที่เหมาะสม
ขาค้ำพื้น เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น
สามารถถอดซักเองได้ผ้าหุ้มเบาะคาร์ซีทอย่างดี สามารถถอดออกได้ง่าย สะดวกในการถอดซักทำความสะอาด และสามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 15 เมษายน 2564, 01:04:55 pm
Ailebebe Kurutto NT2 Premium

คาร์ซีทสำหรับเด็กวัยแรกเกิด- 4 ปี หรือน้ำหนัก 18 kg.

Color : BLACK / BROWN

Product Size : H710 × W470 × D650 mm.

Product Weight : 14.0 kg

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Cover-Head-Web-NT2-Premium-01.jpg)

ลูกบิดจับถนัดมือและหมุนได้อย่างง่ายดาย

ที่คล้องสายเบลล์ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องอุ้มลูกน้อยวางบนคาร์ซีทเพียงลำพัง



เบาะนั่งคาร์ซีท เหมาะสำหรับเด็กวัยแรกเกิด

เบาะนั่งคาร์ซีทที่ได้มาตรฐาน ช่วยรองรับสรีระเด็กแรกเกิด ทั้งศีรษะและสะโพกที่มีความบอบบาง ในท่าที่มีความมั่นคง



เบาะรองนอนรองรับศีรษะและคอ ช่วยให้นอนได้อย่างมั่นคง หายใจได้สะดวก

 

เบาะรองช่วงคอและสะโพก เพื่อให้ลูกน้อยนอนได้สบายและหลับได้ยาวนานยิ่งขึ้น



หลังคาใหญ่กันรังสีUV 90% และปรับได้ 3 ระดับ

หลังคาบังแดดช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบาย ปกป้องได้ทั้งแสงแดด รังสีUV และลมจากเครื่องปรับอากาศ ปรับได้ 3 ระดับ ตามการใช้งาน

 

ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัยได้ง่ายเพียง 3 ขั้นตอน



ช่องใต้คาร์ซีทสำหรับสอดสายเบลล์



ขาค้ำมีขนาดกว้างและมั่นคง

 

การออกแบบอย่างดี เพื่อให้การนั่งเป็นไปอย่างเหมาะสม กับทุกรุ่น



ปรับระดับของสายเบลล์ได้ง่าย เพียงแค่เปิดฝาด้านหลังคาร์ซีท และปรับระดับได้ทันที โดยไม่ต้องถอดสายออกให้ยุ่งยาก



สามารถถอดผ้าหุ้มเบาะออกมาซักได้โดยไม่ต้องถอดสายเข็มขัดนิรภัย

 



3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการถอดซักทำความสะอาด

 

Product Size : H710 × W470 × D650 mm.

Product Weight : 14.0 kg.

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 16 เมษายน 2564, 01:59:46 pm
Ailebebe Kurutto 5s Premium
คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนัก 2.5 – 18 kg.

สี : สีดำ / สีเทา

น้ำหนักสินค้า : 15.2 kg.

คาร์ซีทแรกเกิด Kurutto 5 Series พิเศษด้วยดีไซน์และสีที่มีเฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น Exclusive For Thailand

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-Kurutto5-01-3.jpg)

คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto 5 Series วีดีโอคุณสมบัติที่ช่วยให้ลูกน้อยของคุณเดินทางได้อย่างปลอดภัย ตามมาตรฐานสากล





ติดตั้งด้วยเข็มขัดนิรภัย Power Lock ช่วยให้ยึดติดได้แน่นสนิทกว่าระบบนิรภัยทั่วไป

สามารถติดตั้งได้ง่ายด้วยการกดปุ่ม Power Assist
ก้านล็อคด้านข้างช่วยให้การล็อคสายเข็มขัดแน่นหนาขึ้น
การออกแบบอย่างดี ติดตั้งคาร์ซีทได้แนบชิดกับเบาะเพื่อการนั่งที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับรถทุกรุ่น


หมุนได้ 360° ด้วยมือข้างเดียว

มาพร้อมลูกบิด จับถนัดมือ หมุนง่าย เพียงบิดแล้วหมุน จะช่วยให้การนำลูกน้อย ขึ้น-ลง ได้ง่ายขึ้น


หมุนแบบไร้เสียง เพื่อให้การนอนของลูกน้อยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุ้งตื่น

หมุนเพื่ออุ้มลูกขึ้น-ลงในที่แคบได้อย่างง่ายดาย
ไม่ควรหมุนในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่


Side Impact Protecftion

ปกป้องการกระแทกจากด้านข้างของ คาร์ซีท ด้วยพนักพิงด้านข้างกว้างถึง 21 cm.
3 Levels of Reclining ปรับเอนได้ 3 ระดับ


ปรับเข็มขัดนิรภัยและปรับหมอนรองศีรษะ ที่ คาร์ซีท ได้ง่ายตามช่วงวัยที่เหมาะสม

ปรับระดับเข็มขัดนิรภัย จากด้านหน้า คาร์ซีท ง่ายเพียงปุ่มเดียว
หมอนรองศีรษะของ คาร์ซีท ปรับขึ้น-ลงได้ตามความสูง


หมอนรองศีรษะหนานุ่มพิเศษ ช่วยประคองศีรษะในขณะหลับได้ดี

วัสดุ EPS FOAM หนาถึง 40 mm. ช่วยรองรับแรงกระแทกได้อย่างปลอดภัย พร้อม Ultra Cushion เพิ่มความนุ่มสบาย


Infant Cushion Flat รองรับสรีระเด็กแรกเกิด เสมือนท่าอุ้มของแม่

ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบายและปลอดภัยไม่ต่างจากอ้อมกอดแม่


ช่องหลังคาขนาดใหญ่ของ คาร์ซีท ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายขึ้น ช่วยกันUV 95%

ช่วยป้องกันได้ทั้งแสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเลต แสงสว่างจากไฟถนนตอนกลางคืน และลมจากเครื่องปรับอากาศ


ช่องระบายอากาศ ระบายความร้อน ลดความอับชื้น

มีช่องระบายอากาศมากถึง 1,695 ช่อง ทั่วทั้งตัว ช่วยระบายความร้อน และลดความอับชื้นได้ดี


ผ้าระบายอากาศเนื้อผ้าตาข่ายที่ตัว คาร์ซีท มีความเรียบนุ่มไม่เก็บฝุ่น

เมื่อเหงื่อเด็กระบายได้ดี ช่วยให้สบายตัวยิ่งขึ้น และไม่เก็บฝุ่น ไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กที่บอบบาง และสามารถถอดซักกับเครื่องซักผ้าได้


จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 18 เมษายน 2564, 12:31:56 pm
Ailebebe Kurutto 5s Grance

ของใช้เด็กประเภทคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนัก 2.5 – 18 kg.

สี : สีเบจ / สีน้ำตาล

น้ำหนักสินค้า : 15.2 kg.

คาร์ซีทแรกเกิด Kurutto 5 Series พิเศษด้วยดีไซน์และสีที่มีเฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น Exclusive For Thailand

 

คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto 5 Series วีดีโอคุณสมบัติที่ช่วยให้ลูกน้อยของคุณเดินทางได้อย่างปลอดภัย ตามมาตรฐานสากล


(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto5-%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87Belt.jpg)
 

 

ติดตั้งด้วยเข็มขัดนิรภัย Power Lock ช่วยให้ยึดติดได้แน่นสนิทกว่าระบบนิรภัยทั่วไป

สามารถติดตั้งได้ง่ายด้วยการกดปุ่ม Power Assist
ก้านล็อคด้านข้างช่วยให้การล็อคสายเข็มขัดแน่นหนาขึ้น
การออกแบบอย่างดี ติดตั้งคาร์ซีทได้แนบชิดกับเบาะเพื่อการนั่งที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับรถทุกรุ่น


หมุนได้ 360° ด้วยมือข้างเดียว

มาพร้อมลูกบิด จับถนัดมือ หมุนง่าย เพียงบิดแล้วหมุน จะช่วยให้การนำลูกน้อย ขึ้น-ลง ได้ง่ายขึ้น


หมุนแบบไร้เสียง เพื่อให้การนอนของลูกน้อยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุ้งตื่น

หมุนเพื่ออุ้มลูกขึ้น-ลงในที่แคบได้อย่างง่ายดาย
ไม่ควรหมุนในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่


Side Impact Protecftion

ปกป้องการกระแทกจากด้านข้างของ คาร์ซีท ด้วยพนักพิงด้านข้างกว้างถึง 21 cm.
3 Levels of Reclining ปรับเอนได้ 3 ระดับ


ปรับเข็มขัดนิรภัยและปรับหมอนรองศีรษะ ที่ คาร์ซีท ได้ง่ายตามช่วงวัยที่เหมาะสม

ปรับระดับเข็มขัดนิรภัย จากด้านหน้า คาร์ซีท ง่ายเพียงปุ่มเดียว
หมอนรองศีรษะของ คาร์ซีท ปรับขึ้น-ลงได้ตามความสูง


หมอนรองศีรษะหนานุ่มพิเศษ ช่วยประคองศีรษะในขณะหลับได้ดี

วัสดุ EPS FOAM หนาถึง 40 mm. ช่วยรองรับแรงกระแทกได้อย่างปลอดภัย พร้อม Ultra Cushion เพิ่มความนุ่มสบาย


Infant Cushion Flat รองรับสรีระเด็กแรกเกิด เสมือนท่าอุ้มของแม่

ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบายและปลอดภัยไม่ต่างจากอ้อมกอดแม่


ช่องหลังคาขนาดใหญ่ของ คาร์ซีท ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายขึ้น ช่วยกันUV 95%

ช่วยป้องกันได้ทั้งแสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเลต แสงสว่างจากไฟถนนตอนกลางคืน และลมจากเครื่องปรับอากาศ


ช่องระบายอากาศ ระบายความร้อน ลดความอับชื้น

มีช่องระบายอากาศมากถึง 1,695 ช่อง ทั่วทั้งตัว ช่วยระบายความร้อน และลดความอับชื้นได้ดี


ผ้าระบายอากาศเนื้อผ้าตาข่ายที่ตัว คาร์ซีท มีความเรียบนุ่มไม่เก็บฝุ่น

เมื่อเหงื่อเด็กระบายได้ดี ช่วยให้สบายตัวยิ่งขึ้น และไม่เก็บฝุ่น ไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กที่บอบบาง และสามารถถอดซักกับเครื่องซักผ้าได้

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A-Kurutto-5-GrancePremium-01.jpg)

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 19 เมษายน 2564, 10:17:22 pm
Ailebebe Kurutto 5i Premium

ของใช้เด็ก ประเภทคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนัก 2.5 – 18 kg.

สี : สีดำ / สีเทา

น้ำหนักสินค้า : 14.8 kg.

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto5i-Premium-BK.jpg)

คาร์ซีทแรกเกิด Kurutto 5 Series พิเศษด้วยดีไซน์และสีที่มีเฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น Exclusive For Thailand



ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX พร้อม Control Lock ที่ง่ายสะดวกและปลอดภัยกว่า

Non-Belt ISOFIX ระบบ ISOFIX แบบ 100% คือการใช้ ISOFIX ที่เชื่อมเป็นชิ้นเดียวกับคาร์ซีทโดยปราศจากเข็มขัดเชื่อมต่อ ไม่หักง่ายและปลอดภัยกว่า
ขาค้ำแบบคู่ หน้าสัมผัสพื้นกว้างและยึดได้มั่นคงกว่า

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto5-%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87ISOFIX-1.jpg)
หมุนได้ 360° ด้วยมือข้างเดียว

มาพร้อมลูกบิด จับถนัดมือ หมุนง่าย เพียงบิดแล้วหมุน จะช่วยให้การนำลูกน้อย ขึ้น-ลง ได้ง่ายขึ้น


หมุนแบบไร้เสียง เพื่อให้การนอนของลูกน้อยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุ้งตื่น

หมุนเพื่ออุ้มลูกขึ้น-ลงในที่แคบได้อย่างง่ายดาย
ไม่ควรหมุนในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่


Side Impact Protecftion

ปกป้องการกระแทกจากด้านข้างของ คาร์ซีท ด้วยพนักพิงด้านข้างกว้างถึง 21 cm.
3 Levels of Reclining ปรับเอนได้ 3 ระดับ


ปรับเข็มขัดนิรภัยและปรับหมอนรองศีรษะ ที่ คาร์ซีท ได้ง่ายตามช่วงวัยที่เหมาะสม

ปรับระดับเข็มขัดนิรภัย จากด้านหน้า คาร์ซีท ง่ายเพียงปุ่มเดียว
หมอนรองศีรษะของ คาร์ซีท ปรับขึ้น-ลงได้ตามความสูง


หมอนรองศีรษะหนานุ่มพิเศษ ช่วยประคองศีรษะในขณะหลับได้ดี

วัสดุ EPS FOAM หนาถึง 40 mm. ช่วยรองรับแรงกระแทกได้อย่างปลอดภัย พร้อม Ultra Cushion เพิ่มความนุ่มสบาย


Infant Cushion Flat รองรับสรีระเด็กแรกเกิด เสมือนท่าอุ้มของแม่

ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบายและปลอดภัยไม่ต่างจากอ้อมกอดแม่


ช่องหลังคาขนาดใหญ่ของ คาร์ซีท ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายขึ้น ช่วยกันUV 95%

ช่วยป้องกันได้ทั้งแสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเลต แสงสว่างจากไฟถนนตอนกลางคืน และลมจากเครื่องปรับอากาศ


 

ช่องระบายอากาศ ระบายความร้อน ลดความอับชื้น

มีช่องระบายอากาศมากถึง 1,695 ช่อง ทั่วทั้งตัว ช่วยระบายความร้อน และลดความอับชื้นได้ดี


ผ้าระบายอากาศเนื้อผ้าตาข่ายที่ตัว คาร์ซีท มีความเรียบนุ่มไม่เก็บฝุ่น

เมื่อเหงื่อเด็กระบายได้ดี ช่วยให้สบายตัวยิ่งขึ้น และไม่เก็บฝุ่น ไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กที่บอบบาง และสามารถถอดซักกับเครื่องซักผ้าได้


จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 20 เมษายน 2564, 03:31:57 pm
Ailebebe Kurutto 5i Grance

ราคาปกติ : 42,900.00 บาท

ราคาพิเศษ : 30,900.00 บาท

คาร์ซีท สำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนัก 2.5 – 18 kg.

สี : สีเบจ / สีน้ำตาล

น้ำหนักสินค้า : 14.8 kg.



คาร์ซีทแรกเกิด Kurutto 5 Series พิเศษด้วยดีไซน์และสีที่มีเฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น Exclusive For Thailand

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto5i-Grance-BR.jpg)

ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX พร้อม Control Lock ที่ง่ายสะดวกและปลอดภัยกว่า

Non-Belt ISOFIX ระบบ ISOFIX แบบ 100% คือการใช้ ISOFIX ที่เชื่อมเป็นชิ้นเดียวกับคาร์ซีทโดยปราศจากเข็มขัดเชื่อมต่อ ไม่หักง่ายและปลอดภัยกว่า
ขาค้ำแบบคู่ หน้าสัมผัสพื้นกว้างและยึดได้มั่นคงกว่า


หมุนได้ 360° ด้วยมือข้างเดียว

มาพร้อมลูกบิด จับถนัดมือ หมุนง่าย เพียงบิดแล้วหมุน จะช่วยให้การนำลูกน้อย ขึ้น-ลง ได้ง่ายขึ้น


หมุนแบบไร้เสียง เพื่อให้การนอนของลูกน้อยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุ้งตื่น

หมุนเพื่ออุ้มลูกขึ้น-ลงในที่แคบได้อย่างง่ายดาย
ไม่ควรหมุนในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่


Side Impact Protecftion

ปกป้องการกระแทกจากด้านข้างของ คาร์ซีท ด้วยพนักพิงด้านข้างกว้างถึง 21 cm.
3 Levels of Reclining ปรับเอนได้ 3 ระดับ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-Kurutto5-04.jpg)

ปรับเข็มขัดนิรภัยและปรับหมอนรองศีรษะ ที่ คาร์ซีท ได้ง่ายตามช่วงวัยที่เหมาะสม

ปรับระดับเข็มขัดนิรภัย จากด้านหน้า คาร์ซีท ง่ายเพียงปุ่มเดียว
หมอนรองศีรษะของ คาร์ซีท ปรับขึ้น-ลงได้ตามความสูง


หมอนรองศีรษะหนานุ่มพิเศษ ช่วยประคองศีรษะในขณะหลับได้ดี

วัสดุ EPS FOAM หนาถึง 40 mm. ช่วยรองรับแรงกระแทกได้อย่างปลอดภัย พร้อม Ultra Cushion เพิ่มความนุ่มสบาย
 

Infant Cushion Flat รองรับสรีระเด็กแรกเกิด เสมือนท่าอุ้มของแม่

ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบายและปลอดภัยไม่ต่างจากอ้อมกอดแม่


ช่องหลังคาขนาดใหญ่ของ คาร์ซีท ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายขึ้น ช่วยกันUV 95%

ช่วยป้องกันได้ทั้งแสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเลต แสงสว่างจากไฟถนนตอนกลางคืน และลมจากเครื่องปรับอากาศ


ช่องระบายอากาศ ระบายความร้อน ลดความอับชื้น

มีช่องระบายอากาศมากถึง 1,695 ช่อง ทั่วทั้งตัว ช่วยระบายความร้อน และลดความอับชื้นได้ดี


ผ้าระบายอากาศเนื้อผ้าตาข่ายที่ตัว คาร์ซีท มีความเรียบนุ่มไม่เก็บฝุ่น

เมื่อเหงื่อเด็กระบายได้ดี ช่วยให้สบายตัวยิ่งขึ้น และไม่เก็บฝุ่น ไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กที่บอบบาง และสามารถถอดซักกับเครื่องซักผ้าได้


จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 22 เมษายน 2564, 09:45:15 pm
Ailebebe Kurutto 5i Premium

ราคาปกติ : 39,500.00 บาท

ราคาพิเศษ : 27,900.00 บาท

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนัก 2.5 – 18 kg.

สี : สีดำ / สีเทา

น้ำหนักสินค้า : 14.8 kg.

คาร์ซีทแรกเกิด Kurutto 5 Series พิเศษด้วยดีไซน์และสีที่มีเฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น Exclusive For Thailand

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto5i-Premium-BK.jpg)

ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX พร้อม Control Lock ที่ง่ายสะดวกและปลอดภัยกว่า

Non-Belt ISOFIX ระบบ ISOFIX แบบ 100% คือการใช้ ISOFIX ที่เชื่อมเป็นชิ้นเดียวกับคาร์ซีทโดยปราศจากเข็มขัดเชื่อมต่อ ไม่หักง่ายและปลอดภัยกว่า
ขาค้ำแบบคู่ หน้าสัมผัสพื้นกว้างและยึดได้มั่นคงกว่า


หมุนได้ 360° ด้วยมือข้างเดียว

มาพร้อมลูกบิด จับถนัดมือ หมุนง่าย เพียงบิดแล้วหมุน จะช่วยให้การนำลูกน้อย ขึ้น-ลง ได้ง่ายขึ้น


หมุนแบบไร้เสียง เพื่อให้การนอนของลูกน้อยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุ้งตื่น

หมุนเพื่ออุ้มลูกขึ้น-ลงในที่แคบได้อย่างง่ายดาย
ไม่ควรหมุนในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่


Side Impact Protecftion

ปกป้องการกระแทกจากด้านข้างของ คาร์ซีท ด้วยพนักพิงด้านข้างกว้างถึง 21 cm.
3 Levels of Reclining ปรับเอนได้ 3 ระดับ


ปรับเข็มขัดนิรภัยและปรับหมอนรองศีรษะ ที่ คาร์ซีท ได้ง่ายตามช่วงวัยที่เหมาะสม

ปรับระดับเข็มขัดนิรภัย จากด้านหน้า คาร์ซีท ง่ายเพียงปุ่มเดียว
หมอนรองศีรษะของ คาร์ซีท ปรับขึ้น-ลงได้ตามความสูง


หมอนรองศีรษะหนานุ่มพิเศษ ช่วยประคองศีรษะในขณะหลับได้ดี

วัสดุ EPS FOAM หนาถึง 40 mm. ช่วยรองรับแรงกระแทกได้อย่างปลอดภัย พร้อม Ultra Cushion เพิ่มความนุ่มสบาย
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-Kurutto5-05-1.jpg)

Infant Cushion Flat รองรับสรีระเด็กแรกเกิด เสมือนท่าอุ้มของแม่

ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบายและปลอดภัยไม่ต่างจากอ้อมกอดแม่


ช่องหลังคาขนาดใหญ่ของ คาร์ซีท ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายขึ้น ช่วยกันUV 95%

ช่วยป้องกันได้ทั้งแสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเลต แสงสว่างจากไฟถนนตอนกลางคืน และลมจากเครื่องปรับอากาศ


 

ช่องระบายอากาศ ระบายความร้อน ลดความอับชื้น

มีช่องระบายอากาศมากถึง 1,695 ช่อง ทั่วทั้งตัว ช่วยระบายความร้อน และลดความอับชื้นได้ดี


ผ้าระบายอากาศเนื้อผ้าตาข่ายที่ตัว คาร์ซีท มีความเรียบนุ่มไม่เก็บฝุ่น

เมื่อเหงื่อเด็กระบายได้ดี ช่วยให้สบายตัวยิ่งขึ้น และไม่เก็บฝุ่น ไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กที่บอบบาง และสามารถถอดซักกับเครื่องซักผ้าได้

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 23 เมษายน 2564, 11:09:07 pm
Ailebebe Kurutto 5i Grance

ราคาปกติ : 42,900.00 บาท

ราคาพิเศษ : 30,900.00 บาท

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนัก 2.5 – 18 kg.

สี : สีเบจ / สีน้ำตาล

น้ำหนักสินค้า : 14.8 kg.

คาร์ซีทแรกเกิด Kurutto 5 Series พิเศษด้วยดีไซน์และสีที่มีเฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น Exclusive For Thailand

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto5i-Grance-BR.jpg)

ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX พร้อม Control Lock ที่ง่ายสะดวกและปลอดภัยกว่า

Non-Belt ISOFIX ระบบ ISOFIX แบบ 100% คือการใช้ ISOFIX ที่เชื่อมเป็นชิ้นเดียวกับคาร์ซีทโดยปราศจากเข็มขัดเชื่อมต่อ ไม่หักง่ายและปลอดภัยกว่า
ขาค้ำแบบคู่ หน้าสัมผัสพื้นกว้างและยึดได้มั่นคงกว่า


หมุนได้ 360° ด้วยมือข้างเดียว

มาพร้อมลูกบิด จับถนัดมือ หมุนง่าย เพียงบิดแล้วหมุน จะช่วยให้การนำลูกน้อย ขึ้น-ลง ได้ง่ายขึ้น


หมุนแบบไร้เสียง เพื่อให้การนอนของลูกน้อยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุ้งตื่น

หมุนเพื่ออุ้มลูกขึ้น-ลงในที่แคบได้อย่างง่ายดาย
ไม่ควรหมุนในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่


Side Impact Protecftion

ปกป้องการกระแทกจากด้านข้างของ คาร์ซีท ด้วยพนักพิงด้านข้างกว้างถึง 21 cm.
3 Levels of Reclining ปรับเอนได้ 3 ระดับ


ปรับเข็มขัดนิรภัยและปรับหมอนรองศีรษะ ที่ คาร์ซีท ได้ง่ายตามช่วงวัยที่เหมาะสม

ปรับระดับเข็มขัดนิรภัย จากด้านหน้า คาร์ซีท ง่ายเพียงปุ่มเดียว
หมอนรองศีรษะของ คาร์ซีท ปรับขึ้น-ลงได้ตามความสูง


หมอนรองศีรษะหนานุ่มพิเศษ ช่วยประคองศีรษะในขณะหลับได้ดี

วัสดุ EPS FOAM หนาถึง 40 mm. ช่วยรองรับแรงกระแทกได้อย่างปลอดภัย พร้อม Ultra Cushion เพิ่มความนุ่มสบาย
 

Infant Cushion Flat รองรับสรีระเด็กแรกเกิด เสมือนท่าอุ้มของแม่

ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบายและปลอดภัยไม่ต่างจากอ้อมกอดแม่


ช่องหลังคาขนาดใหญ่ของ คาร์ซีท ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายขึ้น ช่วยกันUV 95%

ช่วยป้องกันได้ทั้งแสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเลต แสงสว่างจากไฟถนนตอนกลางคืน และลมจากเครื่องปรับอากาศ


ช่องระบายอากาศ ระบายความร้อน ลดความอับชื้น

มีช่องระบายอากาศมากถึง 1,695 ช่อง ทั่วทั้งตัว ช่วยระบายความร้อน และลดความอับชื้นได้ดี


ผ้าระบายอากาศเนื้อผ้าตาข่ายที่ตัว คาร์ซีท มีความเรียบนุ่มไม่เก็บฝุ่น

เมื่อเหงื่อเด็กระบายได้ดี ช่วยให้สบายตัวยิ่งขึ้น และไม่เก็บฝุ่น ไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กที่บอบบาง และสามารถถอดซักกับเครื่องซักผ้าได้
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-Kurutto5-09.jpg)

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 25 เมษายน 2564, 12:17:43 am
Ailebebe Kurutto 4S Premium

ราคาปกติ    ฿39,500.00

ลดเหลือ      ฿25,900.00

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด – 4 ปี น้ำหนัก 18 kg

WEIGHT : 17.1 kg

คาร์ซีท Ailebebe Kurutto 4S Premium

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/4S-Bk-1-768x768.jpg)

การติดตั้งคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto 4s ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย แบบ Power Lock เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นกว่าระบบเดิม

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto-4S-00-800x800-1-768x768.png)

เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยปุ่ม Power Lock

 
ขาค้ำมีความกว้างและมั่นคง

 
การออกแบบอย่างดี เพื่อให้การนั่งเป็นไปอย่างเหมาะสม กับทุกรุ่น


ก้านล้อคด้านข้างช่วยให้การล็อคสายเข็มขัดนิรภัยแน่นหนาขึ้น


สามารถหมุนได้ 360 องศา ง่ายและนุ่มนวลด้วยมือเดียว สะดวกในการอุ้มลูกน้อย ขึ้น-ลง ได้แม้ในที่แคบ


ลูกบิดเป็นรูปสามเหลี่ยมช่วยให้จับหมุนได้ถนัด และหมุนได้อย่างง่ายดาย

 
ที่คล้องสายเบลล์ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องอุ้มลูกน้อยวางบนคาร์ซีทเพียงลำพัง

 

เบาะนั่งคาร์ซีท เหมาะสำหรับเด็กวัยแรกเกิด

เบาะนั่งคาร์ซีทที่ได้มาตรฐาน ช่วยรองรับสรีระเด็กแรกเกิด ทั้งศีรษะและสะโพกที่มีความบอบบาง ในท่าที่มีความมั่นคง

 

ลูกน้อยสามารถนอนหลับได้อย่างสบาย ช่วยรองรับสรีระลูกน้อยได้อย่างเหมาะสม และปกป้องได้อย่างปลอดภัย


เบาะรองนอนรองรับศีรษะและคอ ช่วยให้นอนได้อย่างมั่นคง หายใจได้สะดวก และรองรับช่วงสะโพก เพื่อให้ลูกน้อยนอนได้สบายและหลับได้ยาวนานยิ่งขึ้น

 
ชุดหมอนรองศรีษะและคอ

STEP1 สำหรับเด็กแรกเกิด – 3 เดือน ใช้ทั้งชุด เพื่อช่วยรองรับสรีระสำหรับเด็กแรกเกิด หมอนสำหรับรองหลัง ช่วยทำให้เอนนอนได้ถึง 160 องศา
STEP2 หลังจาก 3 เดือนขึ้นไป สามารถถอดหมอนรองหลัง ทำให้เอนนอนได้ 127 องศา และทำให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นในการนอน
STEP3 หลังจาก 5 เดือนขึ้นไป สามารถถอดผ้ารองตัวออกได้ทั้งหมด เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กว้างขึ้น ตามช่วงวัยและสรีระเด็กที่เจริญเติบโตขึ้นด้วย
 

ระบบยุบตัวอัตโนมัติภายใน หากเกิดแรงปะทะ จะช่วยลดแรงกระแทกได้
 

ปรับระดับเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ได้แบบง่ายดาย ไม่ต้องถอดผ้าหุ้มเบาะ และหมอนรองศีรษะสามารถปรับขึ้น-ลงได้ง่าย เช่นกัน


มีหลังคากันแสงUV 95% ปิดคลุมได้มิดเพื่อปกป้องลูกน้อยให้ห่างไกลจากความร้อนและแสงแดด


หลังคาสามารถปรับคลุมได้ทั้ง 2 ทิศทาง ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง


ช่องระบายอากาศด้านหลัง ช่วยระบายความร้อนลดความอับชื้น


ตัวโครงสร้างคาร์ซีทกว้างถึง 330 mm. เหมาะกับสรีระการเติบโตของลูกน้อย

 

เพิ่มความปลอดภัยด้วยการเสริมวัสดุรองรับแรงกระแทก Ultra Cushion พนักพิงด้านข้างลึกถึง 21 cm. ช่วยปกป้องอุบัติเหตุจากด้านข้าง

 

ผ้าหุ้มคาร์ซีทถอดซักทำความสะอาดง่าย

Product Size : H640 × W455 × D700 (mm.) (Stuffed support leg)

Product Weight : 15.1 kg.

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 30 เมษายน 2564, 10:29:56 am
ฉีดวัคซีนให้ครบตามวัย เพื่อความแข็งแรงของเจ้าตัวน้อย

หลังจากที่เจ้าตัวน้อยได้ลืมตามาดูโลกแล้ว คุณพ่อและคุณแม่ที่เตรียมของใช้เด็กเล็กให้กับเจ้าตัวน้อยแล้วจะต้องให้ความสำคัญกับความแข็งแรงในแต่ละช่วงวัย โดยเจ้าตัวน้อยทุกคนจะได้รับภูมิต้านทานบางส่วนมาจากนมของคุณแม่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว แต่อย่างไรก็ตามภูมิต้านทานโรคเหล่านี้จะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น การฉีดวัคซีนจึงช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่เจ้าตัวน้อยในระยะยาวได้ เนื่องจากการฉีดวัคซีนจะเป็นการกระตุ้นภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกายของเจ้าตัวน้อยเพื่อทำลายเชื้อโรคนั้นๆได้

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/04/saker-ekhruue-ngnuengpan-aahaar-7-in-1-8607-3728397-915de7d50840d53dab9597900ea15ad6-zoom-800x800-1.jpg)

ประเภทของวัคซีน

วัคซีนสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (Live attenuated vaccine) เป็นวัคซีนที่ใช้เชื้อจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ถูกทำให้อ่อนแอลง จนไม่ทำให้เกิดโรคได้ เช่น วัคซีนโปลิโอชนิดกิน วัคซีนรวมหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม วัคซีนอีสุกอีใส วัคซีนโรต้าและวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก
วัคซีนเชื้อตาย (Killed vaccine) เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นจากเชื้อโรคทั้งตัวหรือบางส่วนของเชื้อที่ตายแล้ว เช่น วัคซีนตับอักเสบ เอ บี ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ โปลิโอชนิดฉีด ไทฟอยด์ชนิดฉีด
วัคซีนประเภทท็อกซอยด์ (Toxoid) เป็นการนำพิษของเชื้อโรคมาทำให้หมดฤทธิ์แต่ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ ได้แก่ วัคซีนคอตีบ วัคซีนบาดทะยัก




นอกจากนี้วัคซีนยังสามารถแบ่งออกได้เป็น

วัคซีนพื้นฐาน ซึ่งเป็นวัคซีนจำเป็นที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เด็กไทยทุกคนต้องได้รับ ได้แก่ วัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ฮิป โปลิโอ วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี 
วัคซีนเสริมหมายถึง วัคซีนที่มีประโยชน์ในการป้องกันโรคเพิ่มเติมจากวัคซีนพื้นฐาน แต่ยังไม่มีความสำคัญด้านสาธารณสุขในลำดับต้นๆ เช่น วัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต วัคซีนไวรัสโรต้า วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนอีสุกอีใส เป็นต้น

กำหนดการฉีดวัคซีนของเจ้าตัวน้อยตามช่วงวัย

การฉีดวัคซีนเจ้าตัวน้อยควรเป็นไปตามที่กำหนดไว้อย่างครบถ้วน เพื่อสุขภาพของเจ้าตัวน้อยและลดการแพร่ระบาดของโรคในชุมชน กำหนดการฉีดวัคซีนของเจ้าตัวน้อยแบ่งออกได้ตามช่วงอายุ ดังนี้

วัคซีนทารกแรกเกิด

วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG Vaccine) ฉีดให้เจ้าตัวน้อยก่อนออกจากโรงพยาบาล
วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) เข็มที่ 1 ฉีดภายใน 24 ชั่วโมงหลังเจ้าตัวน้อยเกิด

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 1 เดือน

วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) เข็มที่ 2

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 2 เดือน และ 4 เดือน

วัคซีนรวม 5 โรค DTaP-IPV-HIB เข็มที่ 1(สำหรับอายุ 2 เดือน) ,เข็มที่ 2 (สำหรับอายุ 4 เดือน)

(วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ-วัคซีนฮิป เพื่อป้องกันการติดเชื้อ Haemophilus influenzae type b ที่ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็กเล็ก โรคปอดบวม โรคข้ออักเสบ)

วัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV) ป้องกันโรคปอดบวม เข็มที่ 1(สำหรับอายุ 2 เดือน) ,เข็มที่ 2 (สำหรับอายุ 4 เดือน)
วัคซีนไวรัสโรต้า (RV)  ป้องกันโรคท้องร่วงหยอดเข้าที่ปาก ครั้งที่ 1(สำหรับอายุ 2 เดือน) ,ครั้งที่ 2 (สำหรับอายุ 4 เดือน)

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 6 เดือน

วัคซีนรวม 6 โรค DTaP-IPV-HIB-HBV เข็มที่ 3

(วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ-วัคซีนฮิป-วัคซีนตับอักเสบบี)

วัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV) ป้องกันโรคปอดบวม เข็มที่ 3
วัคซีนไวรัสโรต้า (RV)  ป้องกันโรคท้องร่วง ครั้งที่ 3 (กรณี Pentavalent)

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 9-12 เดือน

วัคซีนป้องกันหัด หัดเยอรมันและคางทูม (MMR) เข็มที่ 1
วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) ป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี เข็มที่ 1
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เข็มที่ 1 โดยฉีด 2 เข็มห่างกัน1 เดือนในครั้งแรก หลังจากนั้นแนะนำฉีดปีละครั้ง

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 12-15 เดือน

วัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV) ป้องกันโรคปอดบวม เข็มที่ 4
วัคซีนอีสุกอีใส เข็มที่ 1
วัคซีนตับอักเสบเอ (HAV) เข็มที่ 1 ชนิดไม่มีชีวิตให้ 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 18 เดือน

วัคซีนรวม 5 โรค DTaP-IPV-HIB เข็มที่ 4

(วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ-วัคซีนฮิป)

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 2-4 ปี

วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) เข็มที่ 2 (แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 2-2 ½ ปี)
วัคซีนป้องกันหัด หัดเยอรมันและคางทูม (MMR) เข็มที่ 2
วัคซีนอีสุกอีใส เข็มที่ 2

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 4-6 ปี

วัคซีนรวม 4 โรค DTaP-IPV เข็มที่ 5

(วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ)

วัคซีนเจ้าตัวน้อยช่วงอายุ 11-12 ปี

วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก–ไอกรน (TdaP) กระตุ้น 1 เข็ม จากนั้นฉีดกระตุ้นด้วย Td ทุก 10 ปี
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี (HPV) ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไปโดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน (ฉีดได้ทั้งในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย โดยในเด็กผู้ชายนั้นสามารถป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนักในเด็กผู้ชายได้ด้วย)

หากคุณพ่อและคุณแม่ไม่สามารถนำเจ้าตัวน้อยไปฉีดวัคซีนได้ตรงตามกำหนดเวลาเนื่องจากติดเหตุจำเป็น เช่น เจ้าตัวน้อยมีอาการป่วย หลังจากเจ้าตัวน้อยหายดีแล้ว ให้รีบพาเจ้าตัวน้อยไปฉีดวัคซีนโดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ ให้นับต่อไปได้เลย หากละเลยจนทำให้เจ้าตัวน้อยได้รับวัคซีนไม่ครบ อาจทำให้เจ้าตัวน้อยเป็นโรคร้ายแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากเรื่องการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนแล้ว การรักษาความสะอาดของใช้เด็ก อาทิเช่น เครื่องปั้มน้ำนม ขวดนม หรือแม้แต่รถเข็นเด็กก็เป็นสิ่งสำคัญอีกเช่นกัน

สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ https://www.baby8slot.com/



ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แผนกกุมารเวชศาสตร์

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 01 พฤษภาคม 2564, 09:38:04 am
เมื่อเจ้าตัวน้อยฟันขึ้น

 

สิ่งที่คุณแม่ที่มีเจ้าตัวน้อยเป็นกังวลนอกจากเรื่องสุขภาพและพัฒนาการทางร่างกายของเจ้าตัวน้อยแล้ว เรื่องการขึ้นของฟันของเจ้าตัวน้อยก็เป็นอีกเรื่องที่คุณแม่เฝ้ารอว่า เมื่อไหร่นะที่ฟันซี่แรกของลูกจะขึ้น โดยฟันชุดแรกหรือที่เรียกว่าฟันน้ำนมมักจะเริ่มขึ้นโดยประมาณอายุราวๆ 6 เดือน

อาการเจ็บๆคันๆเหงือก ไม่สบายตัว หงุดหงิดงอแงอาจพบได้ในเจ้าตัวน้อยบางรายที่ฟันของเจ้าตัวน้อยกำลังจะขึ้น เป็นอีกช่วงเวลาในการเติบโตของเจ้าตัวน้อยที่คงหนีไม่พ้น คุณพ่อและคุณแม่จึงควรดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเหงือกของเจ้าตัวน้อยอาจมีอาการบวมแดงในบริเวณที่ฟันกำลังจะขึ้น และคุณพ่อและคุณแม่สามารถช่วยลดอาการหงุดหงิด บรรเทาการเจ็บๆคันๆนี้ได้

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

วิธีการช่วยบรรเทาอาการเจ็บๆ คันๆเหงือก ทำได้หลากวิธี

เมื่อเจ้าตัวน้อยมีอาการบวมแดงที่เหงือก ให้คุณพ่อและคุณแม่ใช้ผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งก้อนเล็กๆและผูกให้แน่นแล้วนำไปให้เจ้าตัวน้อยอมๆ เคี้ยวๆ เพื่อลดอาการคันเหงือกได้
หลังจากล้างมือของคุณพ่อและคุณแม่ให้สะอาด ให้คุณพ่อและคุณแม่ใช้นิ้วของคุณพ่อและคุณแม่นวดเหงือกของเจ้าตัวน้อยเบาๆ การนวดจะให้เจ้าตัวน้อยผ่อนคลาย
หายางกัดสำหรับสำหรับเจ้าตัวน้อย ซึ่งควรเลือกชนิดที่ปราศจากสาร BPA และไม่มีส่วนประกอบของชิ้นส่วนเล็กๆ เพราะชิ้นส่วนเล็กๆอาจจะหลุดติดคอของเจ้าตัวน้อยได้
แต่หากเจ้าตัวน้อยยังมีอาการงอแง หรือมีไข้ต่ำ คุณพ่อและคุณแม่สามารถให้ยาแก้ปวดพาราเซตามอลสำหรับเด็กได้ในปริมาณยาที่เหมาะสม แต่ควรปรึกษากุมารแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการให้ยากับเจ้าตัวน้อยทุกครั้ง


วิธีการดูแลรักษาฟันของเจ้าตัวน้อย

เมื่อฟันของเจ้าตัวน้อยเริ่มขึ้นแล้ว คุณพ่อและคุณแม่ควรเริ่มต้นดูแลรักษาฟันตั้งแต่ฟันซี่แรก เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียกัดกร่อนสารเคลือบฟันก่อนฟันของเจ้าตัวน้อยจะผุ

ใช้ช้อนและอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารชนิดอื่นๆ แยกจากเจ้าตัวน้อย เพราะน้ำลายในช่องปากของคุณพ่อและคุณแม่มีเชื้อแบคทีเรียที่สามารถทำให้ฟันผุ คุณพ่อและคุณแม่จึงควรดูแลสุขภาพในช่องปากด้วยเช่นกัน เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อแบคทีเรียไปสู่เจ้าตัวน้อย
ไม่ควรให้ขวดนมคาปากเจ้าตัวน้อยนานๆ เมื่อเจ้าตัวน้อยดื่มนมเสร็จ ควรนำขวดนมออกจากปากทันที ไม่ควรให้คาขวดนมไว้ในขณะที่เจ้าตัวน้อยหลับ เพราะน้ำตาลที่มีในนมจะทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในปากของเจ้าตัวน้อยผลิตกรดที่ทำให้ฟันผุออกมา และหลังจากให้นมเรียบร้อย คุณพ่อและคุณแม่ควรเช็ดทำความสะอาดฟันให้เจ้าตัวน้อยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลากลางคืน
ฟันผุเพราะน้ำผลไม้ ในช่วงวัย 1-6 ปี ไม่ควรให้เจ้าตัวน้อยดื่มน้ำผลไม้ 100% เกินวันละ 4-6 ออนซ์ เพราะน้ำผลไม้หลายๆยี่ห้อเป็นน้ำที่เติมน้ำตาลและแต่งรสเลียนแบบน้ำผลไม้ธรรมชาติ ควรให้กินเป็นผลไม้สดจะดีกว่า
ฝึกดื่มนมจากถ้วย เพราะการดูดนมจากขวดบ่อยๆ จะทำให้ฟันผุง่ายกว่า เมื่ออายุครบ 1 ขวบหรืออาจจะเร็วกว่านั้นคุณพ่อและคุณแม่ควรฝึกพัฒนาการให้เจ้าตัวน้อยเริ่มดื่มนมจากแก้วแทนขวดนม
กินอาหารที่มีประโยชน์ ในแต่ละมื้ออาหารควรประกอบด้วยอาหารที่ช่วยลดโอกาสของการเกิดฟันผุ เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผักและผลไม้ เพราะจะช่วยขจัดน้ำตาลในปากและป้องกันการเกิดคราบหินปูน และควรให้เจ้าตัวน้อยบ้วนปากหรือแปรงฟันหลังกินของหวานๆด้วย
ทำความสะอาดฟันให้เจ้าตัวน้อย เมื่อฟันซี่แรกขึ้น คุณพ่อและคุณแม่ก็ควรเริ่มทำความสะอาดฟันได้เลยด้วยผ้านุ่มๆ หรือผ้าก๊อชชุบน้ำ และเมื่อฟันขึ้นเยอะขึ้นให้คุณพ่อและคุณแม่ทำความสะอาดฟันด้วยแปรงสีฟันนิ่มๆ และใช้ยาสีฟันที่เสริมฟลูออไรด์สำหรับเด็ก
 

ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเจ้าตัวน้อย คุณพ่อและคุณแม่จึงควรใส่ใจในรายละเอียดให้มาก ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเจ้าตัวน้อย ของใช้เด็กต่างๆ เช่น ยางกัด ขวดนม เครื่องปั้มน้ำนม และอื่นๆ คุณพ่อและคุณแม่สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องความสะอาด หรือบทความอื่นๆ ที่มีประโยชน์ได้ที่ www.baby8slot.com


จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 07 พฤษภาคม 2564, 12:45:35 am
เด็กโคลิก


เมื่อคุณพ่อและคุณแม่เห็นเจ้าตัวน้อยร้องไห้ไม่หยุด ย่อมมีความกังวลใจไม่มากก็น้อย ยิ่งหากเป็นคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่แล้ว ความกังวลใจยิ่งมีเป็นอย่างมาก เนื่องจากเจ้าตัวน้อยยังไม่สามารถอธิบายความเจ็บปวด หรือความรู้สึกนั้นออกมาเป็นคำพูดได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักอาการร้องไห้ไม่หยุดของเจ้าตัวน้อยกัน หรือที่คนส่วนใหญ่ชอบเรียกกันว่า “เด็กโคลิก”


โคลิก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิดอายุตั้งแต่ 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือนเจ้าตัวน้อยจะร้องมาก ร้องนาน และมักชอบร้องตอนกลางคืน โดยอาการเวลาร้องจะร้องจนตัวงอ ขางอ ตัวงอ หรือกำมือ ทำให้เกิดความเครียด และความวิตกกังวลกับพ่อแม่และครอบครัวเป็นอย่างมาก

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดเด็กโคลิก

 

อาการของโรคยังไม่เป็นที่บ่งชี้ได้แน่นอนว่าเกิดจากอะไร แต่โรคโคลิกอาจ

เกิดได้จากหลายสาเหตุ

พื้นฐานทางด้านอารมณ์ของเจ้าตัวน้อย (กลุ่มเด็กเลี้ยงยาก)
เจ้าตัวน้อยกลืนอากาศเข้าไปมากในระหว่างการดูดนม
อาการแน่นท้อง หรือท้องอืด เนื่องจากไม่สามารถขับลมออกมาได้
เจ้าตัวน้อยอยู่ในท่านอนที่ไม่เหมาะสม
เจ้าตัวน้อยกินมากเกินไป หรือน้อยเกินไป
ความเครียดหรือความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์
เจ้าตัวน้อยที่มีภาวะ/โรคกรดไหลย้อน
การเคลื่อนตัวของลำไส้ผิดปกติที่มีการเคลื่อนตัวมากเกินไป
เจ้าตัวน้อยกินอาหารพวกแป้งมากเกินไป ทำให้ลำไส้ย่อยแป้งไม่หมดจึงทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มาก เจ้าตัวน้อยจึงแน่นอึดอัดท้อง
เจ้าตัวน้อยที่มีการแพ้อาหาร หรือได้รับน้ำผลไม้บางชนิด เช่น น้ำแอปเปิ้ล
ปัญหาทางอารมณ์ของคุณพ่อและคุณแม่ สามารถส่งผลถึงเจ้าตัวน้อยได้
มีการเปลี่ยนแปลงของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้เด็ก โดยเฉพาะมีเชื้อแบคทีเรียบางกลุ่มสัมพัมธ์กับการเกิดอาการโคลิก
 

วิธีการรับมือเมื่อเจ้าตัวน้อยมีอาการโคลิก

เมื่อเจ้าตัวน้อยร้องไห้ อาจแสดงถึงความต้องการว่าหิว เหนื่อย กลัว หรืออาจร้องไห้เพราะเจ็บป่วยหรือเป็นผลมาจากความผิดปกติในร่างกาย การรับมือกับอาการโคลิกทำได้หลายวิธี แต่บอกไม่ได้ว่าวิธีไหนคือวิธีที่ดีที่สุด อาจต้องใช้เวลาในการค้นหาหรือทดลองจนกว่าจะเจอวิธีที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม คุณพ่อและคุณแม่อาจลองปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

ตรวจสอบความชื้นของผ้าอ้อมหรือผ้าอ้อมสำเร็จรูปว่าเปียกหรือชื้นมากเกินไปจนทำให้เจ้าต้วน้อยไม่สบายตัวหรือเปล่า
บางครั้งเจ้าตัวน้อยร้องไห้อาจจะไม่ได้หิวนมเสมอไป เพียงแค่ต้องการหรืออยากจะดูดบางอย่าง คุณพ่อและคุณแม่อาจให้ลูกน้อยดูดจุกหลอกหรือดูดนิ้วมือของเจ้าตัวน้อยเองก็ได้
นวดผ่อนคลาย เหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป นอกจากจะช่วยผ่อนคลายทารกแล้วยังช่วยไล่ลมและกระตุ้นระบบย่อยอาหารได้อีกด้วย
 

วิธีการรักษาโคลิก

ยังไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับภาวะโคลิก เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่มีความพยายามลดสาเหตุที่อาจทำให้เกิดโคลิกซึ่งทำให้เจ้าตัวน้อยหลายรายมีอาการดีขึ้น ได้แก่

ในเจ้าตัวน้อยที่ดื่มนมของคุณแม่ คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่างที่อาจทำให้เกิดการแพ้อาหารในเจ้าตัวน้อยได้ เช่น นมวัว
ควรลดความเครียดหรือความวิตกกังวลในครอบครัว คุณพ่อและคุณแม่ควรทำความเข้าใจว่าโคลิกเป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราว และจะสามาถหายได้เอง
เจ้าตัวน้อยที่ต้องดื่มนมอื่นแทนนมแม่ คุณพ่อและคุณแม่ควรเลือกนมที่แพ้ได้น้อย
เมื่อให้เจ้าตัวน้อยดื่มนม หรือดื่มน้ำจากขวด ระวังอย่าให้มีอากาศแทรกเข้าไปตรงบริเวณที่เด็กดูดนม ต้องยกขวดให้สูงจนนมหรือน้ำเต็มบริเวณจุกขวดไม่มีอากาศแทรก ซึ่งปัจจุบันมีขวดนมสำหรับป้องกันโคลิกวางจำหน่ายแล้วในหมวดหมู่ของใช้เด็ก
หลังป้อนนมเจ้าตัวน้อยเสร็จแล้ว ควรจับให้นั่ง หรืออุ้มพาดบ่าเพื่อให้เจ้าตัวน้อยเรอเอาอากาศออกมา
ยาบางชนิดอาจช่วยได้ เช่นSimethicone (ยาลดแก็สในกระเพาะอาหารและลำไส้ ลดอาการท้องอืด) เป็นยาที่ใช้กันเป็นสามัญทั่วไป แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยา
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2020/03/ob.jpg)

หากเจ้าตัวน้อยมีอาการร้องมาก ร้องนานกว่าปกติโดยยังไม่ทราบสาเหตุ คุณพ่อและคุณแม่ควรพาเจ้าตัวน้อยไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาอาการที่ผิดปกติ หรือพาไปตรวจวินิจฉัยหาโรคอื่นๆ เพื่อให้แพทย์ซักประวัติตรวจร่างกายของเจ้าตัวน้อยเพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

 

ขอขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลเอกชัย

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 08 พฤษภาคม 2564, 01:14:11 am
ทำไมต้องใช้คาร์ซีท

 

ปัจจุบันครอบครัวส่วนใหญ่มีการเดินทางที่มากขึ้น ซึ่งการเดินทางด้วยรถยนต์ถือว่าเป็นเส้นทางหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อไปทำงาน ท่องเที่ยว หรือเพื่อธุระต่างๆ เมื่อคุณพ่อและคุณแม่มีเจ้าตัวน้อยเกิดขึ้นมา คุณพ่อและคุณแม่ก็จะต้องพาเจ้าตัวน้อยออกเดินทางไปด้วย อุปกรณ์ของใช้เด็กที่ใช้ในการเดินทางส่วนตัวของเจ้าตัวน้อยนั้นมีมากมาย แต่อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยก็มีความสำคัญที่ไม่แพ้กัน เช่น รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ซึ่งจากการสำรวจเคสอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น พบได้ว่าหากเจ้าตัวน้อยได้นั่งอยู่ที่คาร์ซีท จะสามารถลดเปอร์เซ็นการเสียชีวิตและอาการบาดเจ็บได้สูงสุดถึง 71% กันเลยทีเดียว ผลของการสำรวจนี้ตอบคำถามและเป็นเหตุผลได้อย่างดีว่า ทำไมคาร์ซีทถึงมีความจำเป็นต่อเจ้าตัวน้อยสุดที่รักของคุณพ่อและคุณแม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/03/Kurutto5i-Grance-BR.jpg)

ทำความรู้จักกับ “คาร์ซีท”

คาร์ซีท (Car seat) คือ อุปกรณ์ที่นั่งนิรภัยสำหรับเจ้าตัวน้อย อายุ 0-12 ปี สำหรับติดตั้งในรถยนต์ระหว่างขณะเดินทาง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นแก่เจ้าตัวน้อย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจากการกระแทก การชน หรือการเบรกกะทันหัน เพราะหากไม่มีคาร์ซีทแล้วปล่อยให้เจ้าตัวน้อยนั่งหรือนอนโดยไม่มีอะไรยึดตัวไว้ หากเกิดอุบัติเหตุจะสามารถทำให้เจ้าตัวน้อยกระเด็นไปกระแทกกับตัวรถ หรืออาจจะกระเด็นออกนอกตัวรถได้ เพราะเข็มขัดนิรภัยภายในรถยนต์ขนาดมาตรฐานยังมีข้อจำกัดในการใช้งานสำหรับขนาดร่างกายของเจ้าตัวน้อยที่ไม่พอดีตัว



ประโยชน์ของคาร์ซีท คือ

ช่วยลดระดับความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และลดการบาดเจ็บของร่างกายของเจ้าตัวน้อย โดยคุณพ่อและคุณแม่ต้องติดตั้งคาร์ซีทในจุดที่เหมาะสม (เช่น บริเวณจุดกึ่งกลางของเบาะหลัง) และปลอดภัยที่สุด (เพราะจะช่วยป้องกันแรงกระแทกที่เกิดจากทางด้านข้างได้) แม้ว่าคาร์ซีทจะช่วยในเรื่องของการเพิ่มความปลอดภัยแล้ว แต่การเลือกซื้อคาร์ซีทก็เป็นสิ่งสำคัญอีกเช่นกัน นอกจากพิจารณาจากรูปลักษณ์ รูปทรง ที่ตอบโจทย์การรองรับสรีระของเจ้าตัวน้อยแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลากหลายอย่างที่ยังต้องคำนึงถึงอีก

 

ประเภทของคาร์ซีท

คาร์ซีทแบ่งได้ตามช่วงอายุของเจ้าตัวน้อย โดยจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

คาร์ซีทสำหรับเด็กวัยแรกเกิด (Infant Seat)
ซึ่งยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ตามลักษณะของสินค้า คือ

แบบกระเช้า ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิด – 18 เดือน (หรือ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ) และเด็กที่น้ำหนักตัวไม่เกิน 10 กิโลกรัม
 

แบบตัวใหญ่ ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิด- 4 ปี (หรือ 7 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ)
 

คาร์ซีทสำหรับวัยเด็กเล็ก
สามารถใช้ได้กับเด็กอายุตั้งแต่ 9 เดือน – 4 ปี

 

คาร์ซีทบูสเตอร์สำหรับเด็ก (Booster seat)
บูสเตอร์เหล่านี้ สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ ตามอุปกรณ์เสริมที่มีมาในชุด คือ

แบบมีที่กั้นด้านหน้า มีพนักพิงพร้อมเบาะรองนั่ง ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 1 – 12 ปี
แบบมีพนักพิงและเบาะรองนั่ง ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 3 – 12 ปี
แบบมีแต่เบาะรองนั่ง ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 5 – 12 ปี
 

เจ้าตัวน้อยต้องนั่งคาร์ซีทถึงเมื่อไหร่

เจ้าตัวน้อยควรต้องนั่งคาร์ซีทจนมีอายุ 4-7 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกาย น้ำหนัก ส่วนสูงของเจ้าตัวน้อย หรือขึ้นอยู่กับคาร์ซีทที่คุณพ่อและคุณแม่เลือกซื้อด้วยว่ารับน้ำหนักได้ถึงเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาเป็นที่นั่งเสริม หรือที่เรียกว่า Booster seat ที่จะช่วยยกระดับตัวของเจ้าตัวน้อยให้สูงขึ้นเพื่อที่จะได้สามารถคาดเข็มขัดนิรภัยของตัวรถได้พอดี และสิ่งที่คุณพ่อและคุณแม่อาจจะยังไม่ทราบคือ ควรให้เจ้าตัวน้อยนั่งอยู่เบาะหลังเสมอ จนกว่าเจ้าตัวน้อยจะมีความสูงเกิน 140 ซม.ขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของเจ้าตัวน้อยที่มากขึ้น

 

ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นเรื่องสำคัญ อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ว่าคุณพ่อและคุณแม่จะคิดว่าระมัดระวังในส่วนของเราดีมากแล้วก็ตาม แต่คุณพ่อและคุณแม่ไม่สามารถควบคุมคนอื่น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อย ทุกครั้งที่เดินทางด้วยรถยนต์จะต้องให้เจ้าตัวน้อยนั่งคาร์ซีทเสมอ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็ก และจำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 09 พฤษภาคม 2564, 11:28:23 am
สีน้ำมูกบอกอะไร

 

หลายๆครั้งที่เจ้าตัวน้อยหรือคุณพ่อและคุณแม่เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล มีเสมหะ หรือแม้แต่อยู่ดีๆก็มีน้ำมูกไหลทั้งที่ไม่ได้เป็นหวัด หรือมีอาการใดๆ วันนี้แอดจะมาเล่าให้คุณพ่อและคุณแม่ได้ทราบกันว่าสีของน้ำมูก หรือเสมหะนั้น สามารถบ่งบอกถึงโรค หรือภาวะสุขภาพอะไรได้บ้าง

 

น้ำมูกเกิดจากอะไร ?

โดยปกติแล้วมนุษย์เราจะมีระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารที่มีเยื่อบุทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร ซึ่งมีต่อมสร้างน้ำมูก เมือก หรือเสมหะ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายใต้เยื่อบุจากสารพิษ หรือสารระคายเคืองต่างๆ ทำให้อวัยวะดังกล่าวชื้นตลอดเวลา หากเยื่อบุที่คลุมอวัยวะดังกล่าวแห้ง จะทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น น้ำมูก หรือเมือกในทางเดินหายใจ จะทำหน้าที่ดักจับสิ่งต่างๆที่ปนมากับลมหายใจ เช่น สารก่อภูมิแพ้ (ไรฝุ่น, ละอองเกสร), ควัน, ฝุ่นบ้าน, เชื้อโรค และในน้ำมูก หรือเมือก ยังมีสารต่อต้านเชื้อโรค เช่น แอนติบอดี, เอนไซม์ ด้วย

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/99291507_2920186494724579_9206728832424345600_n.jpg)

ลักษณะสีของน้ำมูก

– น้ำมูกสีใส

น้ำมูกใสๆ ไม่มีสี และค่อนข้างจะไหลเป็นน้ำ มักประกอบด้วยน้ำ, แอนติบอดีที่ต่อต้านเชื้อโรค, เกลือ และโปรตีน อาจมาจากการร้องไห้ หรือเป็นหวัดเล็กน้อย โดยน้ำมูกที่ออกมาจะช่วยให้ภายในโพรงจมูกชุ่มชื่น ไม่แห้งจนเกินไป น้ำมูกลักษณะนี้สามารถหายไปได้เองโดยไม่ต้องทานยา

 

– น้ำมูกเหนียวข้นสีขาว

หากน้ำมูกมีลักษณะเหนียวข้น หรือมีความหนืดมากกว่าน้ำใสๆ อาจเนื่องมาจากการที่น้ำมูกถูกขังอยู่ในโพรงจมูกเป็นระยะเวลานาน จากเยื่อบุจมูกที่บวม นอกจากนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนมมากเกินไป อาจทำให้น้ำมูกที่ออกมา หรือไหลลงคอ มีสีขาวขุ่นได้ เนื่องจากไขมันในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม สามารถทำให้น้ำมูกสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้น้ำมูก หรือเสมหะมีลักษณะหนาและเหนียว และมีสีขาวขุ่นตามมาได้

 

– น้ำมูกเหนียวข้น สีเขียว หรือเหลือง

หากมีน้ำมูกที่เหนียวข้นกว่าเดิม และยังมีสีเขียว หรือเหลือง อาจหมายถึง มีการติดเชื้อแบคทีเรียในโพรงจมูกหรือไซนัส ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา จะส่งเซลล์ที่ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ออกมาทำลายเชื้อแบคทีเรีย ทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว และเชื้อแบคทีเรียที่ตายแล้ว รวมทั้งเมือกและหนองต่างๆ จะรวมตัวกัน ทำให้น้ำมูกมีสีเหลืองได้

 

– น้ำมูกสีเทา

น้ำมูกที่มีสีเทา อาจบ่งบอกว่าในจมูกของคุณมีริดสีดวงจมูก (nasal polyp)  ริดสีดวงจมูกเกิดจากเยื่อบุจมูกหรือไซนัสที่บวมออกมาเป็นก้อนในโพรงจมูก หรือไซนัส ซึ่งไม่ใช่เนื้องอกร้ายแต่อย่างใด มักเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุจมูก ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้, โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง, โรคหืด หรือภาวะแพ้ยาแอสไพริน โรคไซนัสอักเสบจากเชื้อรา สามารถทำให้น้ำมูกหรือเสมหะมีสีเทาได้ ซึ่งมักเกิดจากสปอร์ของเชื้อรามาเกาะที่ผิวเยื่อบุจมูก และเจริญเติบโตมากขึ้น มักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของเยื่อบุจมูกเรื้อรัง หรือภูมิต้านทานของร่างกายลดน้อยลง

 

– น้ำมูกสีแดง

มักเกิดจากมีเส้นเลือดในโพรงจมูกแตก แล้วปนมากับน้ำมูก ซึ่งเส้นเลือดที่แตก อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การระคายเคือง หรือบาดเจ็บบริเวณจมูก, การอักเสบในโพรงจมูก, เนื้องอก, โรคของหลอดเลือดชนิดต่างๆ หรือแม้แต่การที่เยื่อบุจมูกแห้ง ทำให้เส้นเลือดในเยื่อบุโพรงจมูกอยู่ชิดกับผิวมากขึ้น ทำให้มีการแตกของเส้นเลือดได้ง่าย ซึ่งในกรณีที่น้ำมูกมีสีแดง โดยเฉพาะออกจากจมูกเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด สาเหตุของจมูกแห้ง ได้แก่ ดื่มน้ำน้อย, อยู่ในห้องแอร์ ซึ่งมักจะทำให้เราต้องสัมผัสกับอากาศที่เย็นและแห้งเป็นประจำ หรือเปิดพัดลมเป่าจ่อที่หน้า หรือจมูกเป็นระยะเวลานาน หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศเย็นหรือหนาวจัด อาจต้องพ่นน้ำเกลือเข้าในโพรงจมูกบ่อยๆ หรือใช้เครื่องปรับอากาศให้อุ่นและชื้นขึ้น (humidifier)

 

– น้ำมูกสีดำ

มักพบในผู้ที่สูบบุหรี่หรือสูดยานัตถ์, ใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย หรือผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะทางอากาศมาก หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อราของโพรงจมูกหรือไซนัส

 

ดังนั้น หากคุณพ่และคุณแม่ทราบข้อมูลเหล่านี้แล้ว ในครั้งหน้าหากเจ้าตัวน้อยมีน้ำมูกหรือเสมหะ คุณพ่อและคุณแม่ก็ควรจะสังเกตุดูน้ำมูกหรือเสมหะที่ออกมาเพื่อจะได้รู้เท่าทันสุขภาพและอาการของเจ้าตัวน้อยกันค่ะ

 

คุณพ่อและคุณแม่สามารถเลือกซื้อสินค้าคุณภาพที่น่ารักๆ และได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่มีประโยชน์มากมายได้โดยการกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ บทความนี้ด้วยนะคะ

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

 
ขอขอบคุณข้อมูล : ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 10 พฤษภาคม 2564, 11:01:04 pm
การหัดให้เจ้าตัวน้อยกินนมชงจากขวด แทนการการกินนมจากนมแม่

 

เมื่อคุณแม่มีปริมาณการผลิตน้ำนมที่ลดน้อยลง น้ำนมที่ปั๊มเก็บไว้จากเครื่องปั๊มน้ำนมที่เป็นของใช้เด็กสะสมไว้ใกล้หมด และถึงวัยหัดให้เจ้าตัวน้อยเริ่มหัดกินนมชงจากขวดแทน หรือคุณแม่ต้องออกไปทำงานหรือทำธุระข้างนอกหรือต้องพาเจ้าตัวน้อยออกไปข้างนอกและไม่สะดวกให้นมกับเจ้าตัวน้อย ไม่สะดวกที่จะปั๊มน้ำนมเก็บไว้ การหัดให้เจ้าตัวน้อยเริ่มหัดกินนมชงที่ควรเริ่มหัดนั่นจะเริ่มยังไงดีวันนี้ทาง www.bab8slot.com ของเรามีวิธีดีๆมาแนะนำกันค่ะ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/ob.jpg)

การหัดให้เจ้าตัวน้อยกินนมชงจากขวด แทนการการกินนมจากนมแม่
 
การสลับนมชง กันน้ำนมแม่ วิธีนี้จะเหมาะคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านในตอนกลางวันทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้น้ำนมจากเต้ากับเจ้าตัวน้อยได้เหมือนเดิม ใช่วงเช้าก่อนออกไปทำงาน และในช่วงเย็นหลังจากกลับมากจากการทำงานในตอนกลางวันจนถึงช่วงเวลาเข้านอนของเจ้าตัวน้อย ส่วนในระหว่างวันที่ให้คุณตาคุณยายหรือคุณปู่คุณย่า หรือพี่เลี้ยงที่ดูแลก็ให้กินนมชงจากขวดที่เป็นของใช้เด็กแทน ในช่วงแรกๆเจ้าตัวน้อยอาจจะไม่ยอมกินนมจากขวด หรืองอแงต้องการกินนมจากเต้า ก็เป็นเรื่องปกติวิธีนี้จะไปหนักที่คนเลี้ยงในตอนกลางวัน คุณแม่ควรทำความเข้าใจกับคนเลี้ยงเสียก่อน ส่วนคุณแม่ที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่บ้านอยู่แล้ว วิธีนี้ค่อนข้างจะยากเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวน้อยจะติดเต้าเจ้าตัวน้อยจะเห็นเต้าอยู่ตรงหน้า จะงอแงเป็นพิเศษ คุณแม่ต้องใจแข็ง อย่าใจอ่อนให้กินนมจากเต้าเป็นอันขาด

 

ผสมนมชงกับน้ำนมแม่ หากคุณแม่เคยลองให้นมชง แล้วเจ้าตัวน้อยไม่ยอมกิน หรือบ้วนทิ้ง นั่นเพราะว่าเจ้าตัวน้อยรับรู้ถึงรสชาติของนมที่เปลี่ยนไป ดังนั้น การผสมนงชงกับนมแม่และค่อยๆปรับอัตราส่วนนมชงให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นนมชงอย่างเดียวในที่สุด และค่อยๆปรับรสชาติให้เจ้าตัวน้อยมีความคุ้นเคยเสียก่อน และเป็นวิธีที่คุณแม่ส่วนใหญ่นิยมใช้กันมากที่สุด ส่วนการปรับอัตราส่วนนั้น ให้เริ่มจาก นมชง:น้ำนมแม่ เป็นอัตราส่วน 1:3 , 2:2 , 3:1 , และ 4:0 ตามลำดับ โดยการใช้เวลาในแต่ละการเปลี่ยนอัตราส่วนประมาณ 1-3 วัน ต่อการปรับหนึ่งครั้ง

 

แบบหักดิบ เปลี่ยนจากน้ำนมแม่มาเป็นนมชงจากขวดเลย เจ้าตัวน้อยที่กินง่ายก้คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่สำหรับเจ้าตัวน้อยที่กินยาก ตัวน้อยจะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและไม่ยอมดูดนมจากขวดง่ายๆ คุณแม่ต้องใจแข็ง เพราะเจ้าตัวน้อยอาจจะไม่ยอมดูดนมจากขวด 2-5 วันเลยทีเดียว ทางที่ดีควรใช้วิธีทางด้านบน ค่อยๆเป็นค่อยๆไปจะดีกว่านะคะ เพราะวิธีหักดิบนี้เหมาะกับเจ้าตัวน้อยที่กินง่ายค่ะ

 

ในระหว่างการเปลี่ยนนมนั้น เจ้าตัวน้อยอาจจะถ่ายแข็งขึ้น หรือเหลวไปบ้าง คุณแม่คุณพ่อไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะเจ้าตัวน้อยอยู่ในระหว่างการปรับลำไส้ไม่เกิน 3-5 วัน ก็จะเข้าที่เข้าทางเองค่ะ แต่หากเจ้าตัวน้อยไม่มีการขับถ่ายเลยภายใน 7 วัน หลังการเปลี่ยนนม คุณแม่อาจจะต้องมองหานมชงยี่ห้ออื่นแทนค่ะ เพราะระบบขับถ่ายของเจ้าตัวน้อยอาจจะไม่เหมาะกับนมชงยี่ห้อที่เพิ่งเปลี่ยนไป

หากนมชงที่ให้เป็นนมวัว คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการของเจ้าตัวน้อย ว่ามีอาการผดผื่นขึ้น ท้องเสีย หรือ หายใจติดขัดหรือไม่ เพราะเจ้าตัวน้อยอาจจะแพ้นมวัวได้ คุณพ่อคุณแม่จะได้แก้ไขอาการของเจ้าตัวน้อยได้ทันท่วงที และอาจจะต้องเปลี่ยนไปเป็นนมแพะ หรือนมที่พิเศษที่ไม่มีส่วนผสมของนมวัวแทนค่ะ

คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านสามารถอ่านบทความที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อื่นๆ หรือมองหาสินค้าคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากต่างประเทศต่างๆ เช่น

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท ฯลฯ
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 11 พฤษภาคม 2564, 10:39:16 pm
วิธีดูแลเจ้าตัวน้อยในช่วงหน้าฝน

 

ในช่วงฤดูฝนนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรจะเตรียมตัวให้พร้อบรับมือ ที่คุณพ่อคุณม่จะดูแลเจ้าตัวน้อยด้วยของใช้เด็กและของใช้ต่างๆ อย่างไรให้ถูกวิธีโดยการไม่เป็นไข้หวัด โรคปอดบวม ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ หรือโรคมือ เท้า ปาก ในวันนี้ทาง www.baby8slot.com มีวิธีดูแลเจ้าตัวน้อยในหน้าฝนมาฝาก คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่านกันค่ะ

 

พกร่มและเสื้อกันฝนทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน เพราะคุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่านจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าฝนนั้นจะตกตอนไหนเมื่อไหร่ คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่าน ควรเตรียมความพร้อมไว้ก่อนเสมอ โดยหาร่มคันเล็กให้เหมาะกับมือลูก และใส่เสื้อกันฝนไว้ในกระเป๋า ทุกๆครั้งที่ออกจากบ้าน เมื่อฝนตกก็พร้อมหยิบออกมาใช้ได้ทันที ถ้าจะให้ดีคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านเตรียมผ้าขนหนู ผืนย่อมๆ ไว้ด้วย เผื่อเจ้าตัวน้อยโดนฝนมาจะได้มีผ้ามาเช็ดตัว เช็ดผม ก่อนสวมเสื้อกันฝน ที่เป็นของใช้เด็กของเจ้าตัวน้อย

 

หารองเท้าบูทไว้ติดบ้าน ข้อนี้สำหรับคุณพ่อคุณแม่ บ้านไหนที่มักจะเจอปัญหาน้ำท่วมขังเมื่อเวลาฝนตก เพราะน้ำที่ท่วมขังมากมีเชื้อโรคต่างๆไหลมากับน้ำที่ปะปนท่วมขัง ก็อาจจะทำให้เจ้าตัวน้อยไม่สบายได้ง่าย เพราะเจ้าตัวน้อยอาจจะไปเล่นน้ำที่ท่วมขังนั้นได้ ตามประสาวัยซน เพราะฉะนั้นรองเท้าบูทจึงเป็นอีกไอเทมหนึ่งที่มีความสำคัญ ที่คุรพ่อคุณมีควรมีติดบ้านไว้ให้กับเจ้าตัวน้อย ในทุกๆบ้านค่ะ

ทำให้เจ้าตัวน้อยแห้งอยู่เสมอๆ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เจ้าตัวน้อยสวมใส่อยู่เสมอๆ ต้องระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น รวมถึงไม่ควรปล่อยให้เจ้าตัวน้อยตัวเปียกนาน หลังอาบน้ำ เพราะไข้หวัดอาจจะมาถามหาเจ้าตัวน้อยของคุณพ่อคุณแม่ได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรหาไดร์เป่าผมสักอันเอาไว้ใช้หลังจากที่ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเช็ดตัวให้กับเจ้าตัวน้อย เลือกไดร์แบบที่ใช้เฉพาะลมธรรมดา ไม่เปิดใช้เป็นลมร้อน เอาไว้เป่าผมให้เจ้าตัวน้อยให้แห้งไวขึ้น

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2020/05/38-1-768x768.jpg)

หน้ากากป้องกันโรค หากเจ้าตัวน้อยจำเป็นต้องออกจากบ้าน ไปยังสถานที่ที่มีปัจจัยเสี่ยงกับโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล หรือ โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรหาหน้ากากลายน่ารักๆ ให้เจ้าตัวน้อยได้สวมใส่ เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะผ่านเข้าทางเดินระบบหายใจ เพราะในปัจจุบันนี้ไข้หวัดนั้นเป็นง่ายแต่รักษาให้หายยากทำให้ติดโรคได้โดยที่ไม่รู้ตัวหากไม่ป้องกันให้ถูกวิธี หน้ากากอนามัย หรือ หน้ากากผ้าต่างๆ ที่สามารป้องกันได้ จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่าน จะฝึกให้เจ้าตัวน้อยใส่จนติดเป็นนิสัยเมื่อเวลาต้องออกจากบ้าน

 

การรักษาความสะอาด การใช้เจลล้างมือหรือล้างมือทุกครั้งก่อนกินขนม หรืออาหาร เพราะช่วงทางหลักอีกช่องทางหนึ่ง ที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายของเจ้าตัวน้อยได้ง่าย ก็คือทางปาก เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยซนอยู่ไม่นิ่งชอบหยิบจับสิ่งของเข้าปาก หรือ ของที่ตกพื้นเข้าปาก อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่านได้ทราบนั้น เชื้อโรคที่อยู่ตามของเล่น หรือตามพื้น นั้นอาจจะติดมือของเจ้าตัวน้อยและสุดท้ายนั้นก็จะเข้าสู่ร่างกายทางปาก เมื่อหยิบจับขนม หรืออาหารเข้าปาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรฝึกให้เจ้าตัวน้อยล้างมือทุกครั้งก่อนที่จะหยิบจับขนม หรืออาหาร คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่านควรหมั่นทำความสะอาดของเล่นของเจ้าตัวน้อยอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อย

 

5 วิธีด้านบน ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นไม่ยากเลยใช่มั้ยค่ะ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่าน ขอแค่คุณพ่อคุณแม่ดูแลเอาใจใส่อย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้เจ้าตัวน้อยห่างไกลจากโรคภัยที่มาพร้อมกับหน้าฝนนี้และไข้หวัดกลายเป็นไข้หวัดใหญ่กำลังเกิดขึ้นอยู่นะตอนนี้ ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลร่างกายเจ้าตัวน้อยให้แข็งแรง คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมให้เจ้าตัวน้อยทานน้ำให้มากๆ และกินอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามินสูง เพียงเท่านี้เจ้าตัวน้อยของคุณพ่อคุณแม่ก็จะผ่านหน้าฝนนี้ไปได้อย่างสบายๆได้แล้วค่ะ


จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท ฯลฯ
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 12 พฤษภาคม 2564, 11:10:27 pm
เทคนิค ที่ทำให้เจ้าตัวน้อยชอบกินผลไม้

 

คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านมักเจอกับปัญหาที่ เจ้าตัวน้อยไม่ยอมกินผักผลไม้ ทั้งที่ตอนเด็กก็เคยบดกล้วยให้กิน แต่พอโตขึ้น กลับหยุดกินเอาดื้อๆสร้างความปวดหัวให้กับคุณพ่อคุณแม่ไม่น้อยเลย วันนี้ www.baby8slot.com มีเทคนิคดีๆที่จะทำให้เจ้าตัวน้อยหันมาชอบกินผลไม้

 

เทคนิค ที่ทำให้เจ้าตัวน้อยชอบกินผลไม้ การสร้างความประทำใจแรกด้วยผลไม้ที่ทานง่ายและรสชาติอร่อย การจะเปลี่ยนความคิดของเจ้าตัวน้อยนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรลองหาผลไม้ที่ดูแปลกใหม่ มาเริ่มต้นให้กับเจ้าตัวน้อย เช่น เมล่อน หรือถ้าหาไม่ได้ ลองเอาผลไม้รอบๆตัวมาปลอกเปลือก แกะเมล็ด บดหรือคั้นน้ำ ปั่น ด้วยอุปกรณ์ต่างๆที่เกรดสำหรับของใช้เด็กโดยเฉพาะเพื่อทำให้ทานได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเจ้าตัวน้อยบางคนไม่ชอบการแกะหรือการกินที่ยุ่งยาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ลองเสิร์ฟให้พร้อมทานดู

 

นำผลไม้มาแช่เย็น เสริมให้มีรสชาติทีอร่อยมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ลองหาผลไม้กระป๋อง เช่น เงาะกระป๋อง ลำไยกระป๋อง ลิ้นจี่กระป๋อง หรือผลไม้อื่นๆ นำไปแช่แข็งให้กินทั้งๆที่เป็นเกล็ดน้ำแข็ง ยิ่งอร่อยมากขึ้นไปอีก ดีไม่ดีอาจจะทำให้เจ้าตัวน้อยติดอกติดใจชอบกินขึ้นมาเลยก็ได้

 

นำผลไม้มาดัดแปรงตกแต่ง ใส่ลงไปในของโปรดที่เจ้าตัวน้อยชอบ สิ่งแรก ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ก่อนว่า เจ้าตัวน้อยชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไรบ้าง แล้วจึงนำผลไม้มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในเมนูโปรดของเจ้าตัวน้อย อย่างเช่น ทำไอติมแท่ง แล้วใส่ผลไม้หั่นใส่ลงไปด้วย คั้นน้ำผลไม้หรือปั่นน้ำผลไม้เย็นๆ ให้เจ้าตัวน้อย โดยเครื่องปั่นที่เป็นของใช้เด็กโดยเฉพาะ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/neo-800x800-01-510x510-1.jpg)

หาสาเหตุที่เจ้าตัวน้อยไม่ชอบทานผลไม้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตุดูว่า ผลไม้แบบไหนที่เจ้าตัวน้อยมักมีอาการปฏิเสธการกิน เพราะเจ้าตัวน้อยแต่ละคนมีความไม่ชอบผลไม้ที่แตกต่างกันไป บางคนไม่ชอบผลไม้เนื้อนิ่มและมีกลิ่น เช่น ทุเรียน กล้วย มะละกอ มะม่วง หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว เลม่อน กีวี่ สตอเบอรี่ แครนเบอรี่ ส้มบางสายพันธุ์ เป็นต้น ผลไม้ที่มีรสหวานเจ้าตัวน้อยบางคนก็ไม่ชอบ เช่น เมล่อน ส้มบางสายพันธุ์ มะละกอสุก เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องหาผลไม้แปรรูปมาลองให้เจ้าตัวน้อยลองกิน เช่น มะม่วอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง มะม่วงอบแห้ง กล้วยทอด กล้วยตาก กล้วยอบ ทุเรียนทอด ผลไม้ฟรีซดราย เช่น ทุเรียน มะม่วง มังคุด เป็นต้น

คุณพ่อคุณแม่ควรกินผลไม้หลังอาหารทุกมื้อ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเจ้าตัวน้อยได้เห็นเพื่อเป็นการปลูกฝังให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกคุนเคยกับการกินผลไม้

การที่จะทำให้เจ้าตัวน้อยหันมาชอบกินผลไม้นั้น เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจหรือสังเกตุดูว่าเจ้าตัวนั้นชอบหรือไม่ชอบผลไม้ที่มีรสชาติ รสสัมผัส หรือมีเนื้อสัมผัส แบบใด เพื่อเป็นสร้างการกินผลไม้เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเจ้าตัวน้อยของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง

คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่านสามารถ ติดตามอ่านบทความดีๆที่น่าสนใจอื่นๆ หรือสินค้าคุณภาพนำเข้าจากต่างประเทศ มากมาย เช่น จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท ฯลฯ
https://www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 13 พฤษภาคม 2564, 11:30:56 pm
การเลี้ยงเจ้าตัวน้อยให้อยู่กับสัตว์เลี้ยง

 

คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจจะมีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เป็นน้องหมา น้องแมว ก่อนที่จะมีเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน หรือบ้านไหนที่มีเจ้าตัวน้อยอยู่แล้ว แล้วอยากมีสมาชิกใหม่ที่เป็นสัตว์เลี้ยง มาให้เป็นเพื่อเล่นกับเจ้าตัวน้อยของคุณพ่อคุณแม่ คงจะมีความกังวลและคำถามว่า จะเลี้ยงเจ้าตัวน้อยกับสัตว์เลี้ยงอย่างไรดี สัตว์เลี้ยงจะมีผลดี หรือผลเสีย ยังกับเจ้าตัวน้อยของคุณพ่อคุณแม่มากแค่ไหน ก่อนที่จะตัดสินใจ หาสัตว์เลี้ยงมาเป็นสมาชิกใหม่ หรือจะยกสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงอยู่ให้กับคนอื่น ทาง www.baby8slot.com ของเรามีข้อเสนอมาแนะนำเป็นข้อคิดให้คุณพ่อคุณแม่ได้ฟังกันค่ะ คิดถึงของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ อย่าลืมคิดถึงเรานะคะ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

การเลี้ยงเจ้าตัวน้อยให้อยู่กับสัตว์เลี้ยง เช่น น้องหมา น้องแมว หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆนั้น คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่านที่กำลังมีความคิดที่จะหาสัตว์เลี้ยงเพื่อให้มาเป็นเพื่อนกับเจ้าตัวน้อยได้เลยค่ะ เพราะคุณพ่อคุณแม่หลายๆบ้านก็มีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น น้องหมา น้องแมว ให้อยู่กับเจ้าตัวน้อยอยู่แล้ว จนดูเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวเป็นพี่เป็นน้องกันเลยทีเดียว และที่สำคัญคือ เจ้าตัวน้อยที่โตมาพร้อมๆกับสัตว์เลี้ยง มักมีสารต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย พวกแอนติบอดี้ ที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ หอบหืด แพ้อากาศ และยังมีพัฒนาการที่รวดเร็ว มีความอ่อนโยน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มากกว่าเด็กในวัยเดียวกันที่ไม่ได้โตมาพร้อมๆกับสมาชิกที่เป็นสัตว์เลี้ยง ดังนั้น การหาเพื่อนให้กับเจ้าตัวน้อย ที่เป็นเพื่อนรัก 4 ขา หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ก็ดูจะเป็นประโยชน์กับเจ้าตัวน้อยของคุณพ่อคุณแม่มากกว่าจะเป็นผลเสียมากเลยทีเดียวเชียวค่ะ

 

เจ้าตัวน้อยของเราจะมีอาการแพ้ขนหมา ขนแมว หรือไม่ ถ้าหากในครอบครัวของคุณพ่อคุณแม่มีประวัติเคยแพ้ขนสัตว์อยู่ ก็มีโอกาสที่เจ้าตัวน้อยจะมีอาการแพ้ขนสัตว์ได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งจริงๆแล้ว อาการแพ้ขนสัตว์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากขนของน้องหมา น้องแมว แต่เป็นอาการแพ้โปรตีนที่อยู่ในเศษขี้ไคล น้ำลาย ที่อยู่ตามขน และฉี่ของสัตว์เลี้ยง ถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านใดยังไม่มีความมั่นใจ ก็ลองให้เจ้าตัวน้อยได้ลองให้เล่นกับน้องหมา น้องแมว ไม่ว่าจากร้านขายสัตว์เลี้ยง หรือคาเฟ่สัตว์เลี้ยง ทั่วๆไปดูค่ะ ถ้าเจ้าตัวน้อยมีกรแสดงอาการแพ้ เช่น ไอ จาม คัดจมูก คันตา น้ำตาไหล น้ำมูกไหล หายใจลำบาก หอบหืด หรือเกิดผื่นขึ้นตามใบหน้า คอ แขน ขา และตามลำตัว หลังจากที่สัมผัส น้องหมา น้องแมว ไปแล้ว 30 นาที – 6 ชั่วโมง คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องตัดใจที่จะมีสมาชิก 4 ขา ที่เป็นน้องหมา น้องแมว แล้วลองไปหาดูสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นที่ไมมีขนดูค่ะ

 

เจ้าตัวน้อยที่เป็นภูมิแพ้ มีอาการแพ้น้องหมา น้องแมว จะอยู่บ้านเดียวกันได้หรือไม่ คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นที่จะต้องยกน้องหมา น้องแมว ไปให้คนอื่นดูแลแทน เมื่อรู้ว่าเจ้าตัวน้อยมีอาการแพ้ค่ะ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ จะต้องจัดการบริเวณให้น้องหมา และน้องแมว ให้อยู่เป็นสัดส่วน เพื่อที่จะจำกัดพื้นที่ในการหลุดร่วงของเส้นขนของน้องหมา น้องแมว เพื่อไม่ให้ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณบ้าน หากมีน้องหมา น้องแมว อยู่ในบ้านแล้วนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องยิ่งดูแลความสะอาเป็นพิเศษ ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดตามพื้น บนโต๊ะ ใต้โต๊ะ ใต้ตู้ เก้าอี้ โซฟาทุกวัน การกวาดนั้นยังไม่สะอาดพอค่ะ แถมยังทำให้ขนน้องหมา น้องแมว ฟุ้งกระจายเต็มบ้านอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นการดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่นจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณควรทำทุกวันค่ะ หลังจากใช้เครื่องแล้วนั้น ครวถูบ้านด้วยน้ำยาที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อโรคทุกอาทิตย์ เน้นตามพื้น ซอกมุม รอยต่อของไม้ ตามจุดต่างๆ ที่เจ้าตัวน้อยจะเข้าไปสัมผัส

นอกจากนั้น คุณพ่อคุณแม่ยังต้องหมั่นอาบน้ำ แปรงขน ให้กับน้องหมา น้องแมว ทุกอาทิตย์ เพื่อเป็นการสางขนชุดเก่า และสิ่งสกปรกตามขนซึ่งเป็นสาเหตุของอาการแพ้ให้หลุดออก

 

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อเลี้ยงน้องหมา น้องแมว ไว้ในบ้าน ข้อควรระมัดระวัง คือ อย่าให้คุณพ่อคุณแม่เป็นพาหะ นำเส้นขนของน้องหมา น้องแมว ไปใกล้ชิดกับเจ้าตัวน้อยโดยไม่รู้ตัว ดดยที่ทุกครั้งที่มีการเล่น หรือมีการสัมผัสกับน้องหมา น้องแมว แล้ว ต้องล้างมือทุกๆครั้ง ยิ่งถ้ามีการอุ้มน้องหมา น้องแมว ด้วยแล้วนั้น ควรใช้สก็อตเทปทำความสะอาดตามตัว อย่าให้มีเศษขนติดอยู่ตามเสื้อผ้าโดยเด็ดขาด

 

ไม่ควรให้เจ้าตัวน้อยวัย 0-3 เดือน อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง เพราะเจ้าตัวน้อยยังงมีภุมิคุ้มกันไม่แข็งแรงที่มากพอ จะทำให้มีความเสี่ยง เกิดอาการแพ้ได้ง่าย

 

การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ใกล้ชิดกับเจ้าตัวน้อยนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คุณพ่อคุณแม่ควรลองชั่งน้ำหนักก่อนจะตัดสินใจรับสมาชิกใหม่ที่เป็นเพื่อน 4 ขา ให้มาอยู่กับเจ้าตัวน้อยเพื่อให้โตมาด้วยกันกับเจ้าตัวน้อย ส่วนคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนที่มีน้องหมา น้องแมว อยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องหมั่นดูแลทำความสะอาด ระวังเห็บหมัด เป็นพิเศษ และที่สำคัญ ควรเลี้ยงให้เป็นเพื่อนกัน ให้โตมาด้วยกัน อย่ามัวแต่ดูแลเจ้าตัวน้อยจนละเลยการดูแล สมาชิก 4 ขา นะคะ

 

คิดถึงของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ อย่าลืมคิดถึงเรานะคะ

www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 14 พฤษภาคม 2564, 11:05:02 pm
รวมวิธีคลายร้อน ช่วยให้เจ้าตัวน้อยอารมณ์ดี

 

วันนี้ทาง www.baby8slot.com ที่เป็นแหล่งรวมสินค้า ของใช้เด็ก ทั้งรถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ฯลฯ มีทริคดีๆ ที่จะช่วยคลายร้อนให้กับเจ้าตัวน้อยของคุณแม่ทุกท่านมีอารมณ์ดี อย่างที่ทราบกันว่าประเทศไทยนั้นมี อากาศร้อน และร้อนมาก ถึงขั้นร้อนปรอทแตกกันเลยทีเดียว ขนาดคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นผู้ใหญ่ ยังทนร้อนแทบไม่ไหว แล้วเจ้าตัวน้อยที่เป็นแก้วตาดวงใจของคุณพ่อคุณแม่ จะทนไหวได้ยังไง จะไม่ร้องงอแง เพราะอากาศร้อนได้อย่างไร เรามาดูทริคดีๆ ที่ทางเราเอามาฝากกันค่ะ

 

การอาบน้ำ เล่นน้ำให้เต็มที่ คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มต้นวันให้กับเจ้าตัวน้อยให้สดชื่น ร่าเริงตั้งแต่เช้าด้วยการเล่นน้ำ ตบท้ายด้วยการโรยแป้งเย็นให้กับผิวของเจ้าตัวน้อย หรือจะเพิ่มการเล่นน้ำยามบ่าย หรือตอนเย็น ก็เป็นตัวช่วยที่ดี คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนบรรยากาศให้เจ้าตัวน้อยเล่นน้ำนอกสถานที่ โดยเปลี่ยนจากการเล่นน้ำในห้องน้ำ เปลี่ยนมาเล่นที่สวน โดยใช้สายยางฉีดเล่นแทน ก็เพิ่มความสนุกให้เจ้าตัวน้อยและคุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน หรือการเล่นน้ำในอ่างน้ำยางเป่าลม ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เจ้าตัวน้อยมีความสุข

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/hz.jpg)

สวมเสื้อผ้าที่บางและโปร่งสบาย ระบายอากาศได้สะดวก คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเสื้อผ้าเด็กให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในบ้านเรา อาจจะเป็นผ้าฝ้าย (cotton) หรือ ผ้าฝ้ายผสมผ้าใยสังเคราะห์ (cotton spandex) ที่สามารถดูดซับเหงื่อ และระบายอากาศได้ดีเยี่ยม ที่สำคัญ ควรใส่เป็นเสื้อกล้าม หรือเสื้อแขนกุด เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าตัวน้อยเกิดความรำคาญไม่สบายตัวระหว่างวัน

หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด และดื่มน้ำให้มากๆ อาหารประเภทซุป ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม ช่วงอากาศร้อนนี้ไม่ควรให้เจ้าตัวได้กิน หรืออาหารจานโปรดของเจ้าตัวน้อยที่เป็นจานโปรดก็อย่าให้ร้อนจัดจนเกินไป คุณพ่อคุณแม่ควรปล่อยให้เย็นลงสักนิด ไม่งั้นความร้อนของน้ำซุป อาจจะทำให้เจ้าตัวน้อยร้อนปาก จนทำให้เจ้าตัวน้อยมีอารมณ์บูด งอแง ได้ง่ายที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรให้เจ้าตัวน้อยได้จิบน้ำบ่อยๆตลอดทั้งวัน เพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่เจ้าตัวน้อยสูญเสียไปกับเหงื่อในระหว่างวัน ถ้าเจ้าตัวน้อยไม่ยอมกินน้ำบ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ลองหาแก้วน้ำลายน่ารักๆ ที่เจ้าตัวน้อยชอบให้ใช้ แต่ควรเลือกแก้วน้ำที่เป็นเกรดของใช้เด็ก เพื่อป้องกันสารเคมีที่อาจปนเปื้อนได้

 

พาเจ้าตัวน้อยเที่ยวตามสถานที่ที่อากาศเย็นสบาย คุณพ่อคุณแม่บางบ้านอาจวางแผนไปเที่ยวทะเล น้ำตก หรืออาจจะเป็นห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาเก็ตติดแอร์ใกล้บ้านก้ได้ค่ะ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน เจ้าตัวน้อยก็พร้อมให้ความร่วมมือสำหรับการได้ออกไปเที่ยวนอกบ้าน

 

เปิดพัดลม และแอร์ช่วยคลายร้อน คุณพ่อคุณแม่บางบ้านอาจจะไม่อยากพาเจ้าตัวน้อยออกไปเที่ยวนอกบ้าน ไม่ว่าจะเหตุผลอย่าง ออกไปเจออากาศร้อนๆ หรือไปเจอคนเยอะๆ การอยุ่บ้านเปิดพัดลม เปิดแอร์ อยู่ที่บ้านโดยการทำมุมหนึ่งให้เป็นมุมเย็นสบายให้กับเจ้าตัวน้อย เปิดพัดลมเพื่อระบายอากาศให้ระบายถ่ายเท แต่ถ้ายังร้อนอยู่การเปิดแอร์ให้เจ้าตัวน้อยก็เป็นอีกตัวช่วยให้เจ้าตัวน้อย ถ้าคุณแม่คุณพ่อกลัวเรื่องค่าไฟแพง ลองหาพัดลมไอเย็นมาเป็นตัวช่วยให้กับเจ้าตัวได้ค่ะ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังเรื่องความชื่นในอากาศที่อาจจะมาเกิดไปด้วยนะคะ

 

การกินน้ำสมุนไพร ผลไม้แช่เย็น น้ำแข็งใสเย็น ก็ช่วยดับความร้อนได้ดี คุณพ่อคุณแม่ลองให้เจ้าตัวน้อยได้ลองกินน้ำ เก๊กฮวย หล่อฮังก๊วย หรือน้ำสมุนไพรที่มีคุณสมบัติคลายร้อนในร่างกาย ระหว่างวัน การหาอาหารว่างเป็นผลไม้แช่เย็น ที่ความฉ่ำ หวาน เย็นๆ เช่น แตงโม แคนคาลูป เงาะ ลิ้นจี่ เมล่อน น้ำส้มคั่น เพื่อเพิ่มความสดชื่นในระหว่างวันได้ดีทีเดียว คุณพ่อคุณแม่บางบ้านอาจจะใช้ผลไม้กระป๋อง นำไปแช่เย็นให้เป็นไอติมเกล็ดน้ำแข็ง ก็เป็นการทำให้เจ้าตัวน้อยชอบกินผลไม้ได้ค่ะ

 

ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ด หรือใช้สเปรย์บนใบหน้า และร่างกายลูกน้อย ถ้าอากาศร้อนๆ คุณพ่อคุณแม่ก็จำเป็นที่จะต้องหาตัวช่วยมาให้เจ้าตัวน้อย นอกจากวิธีที่ได้กล่าวไปแล้ว การใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือการใส่น้ำใลงในสเปรย์แล้วเอาไปแช่เย็นในตู้เย็น พออากาศร้อนจัดๆ จนเจ้าตัวน้อยเริ่มหงุดหงิด งอแง จากความร้อน ก็เอาสเปรย์ที่แช่เย็นเตรียมไว้มาฉีด หรือผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบหรือฉีดพ่นตามใบหน้า แขน ขา และตามตัว ก็ช่วยคลายร้อนได้อีกวิธี

 

นอกจากวิธีที่ได้กล่าวไปแล้วคุณพ่อคุณแม่ ก็อาจจะปรับสภาพแวดล้อม รอบๆบ้านให้มีอากาศถ่ายเทได้ดี ให้มีลมช่วยระบายความร้อน ถ้าคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนมีพื้นที่มากพอก็ปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาและเป็นการดูดซับความร้อน ทำให้บ้านเย็นขึ้นได้ค่ะ

คิดถึงของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ อย่าลืมคิดถึงเรานะคะ

www.baby8slot.com
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 16 พฤษภาคม 2564, 10:42:24 pm
การฝากครรภ์มีความสำคัญแค่ไหน?

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/04/aramy62_16908779_424171937921918_3392436792702533632_n.jpg)

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ให้ทราบถึงความสำคัญของการฝากครรภ์กันค่ะ

ทันทีที่คุณพ่อคุณแม่รู้ตัวว่ากำลังจะมีเจ้าตัวน้อยมาเป็นสมาชิกใหม่ คุณพ่อคุณแม่ควรรีบไปหาคุณหมอเพื่อตรวจให้แน่ใจ และฝากครรภ์ทันที ขณะเดียวกันก็จะมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่าทำถึงต้องฝากครรภ์ การฝากครรภ์มีความจำเป็นแค่ไหน สมัยก่อนคนไทยก็ฝากครรภ์ไว้กับหมอตำแย รอให้ถึงเวลาคลอด ค่อยไปหา ทำไมสมัยนี้ถึงต้องฝากครรภ์ แล้วรอให้ถึงเวลาคลอดแล้วไปหาทีดียวได้มัย?

บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่สำคัญมาฝากค่ะ การฝากครรภ์นั้นมีความสำคัญ มีประโยชน์ต่อตัวคุณแม่เองและเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์ เป็นอย่างมากค่ะ โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้  คุณแม่มีอัตราความเสี่ยงต่อการแท้ง หรือ ภาวะครรภ์ผิดปกติมาขึ้น ไม่ว่าจะมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจจะมีสารบางอย่างเจือปนในระหว่างการปรุง หรือ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน อาจมีการเดินทาง หรือ การทำงานอย่างหนัก เกิดภาวะความเคลียดของคุณแม่ ฯลฯ ดังนั้นคุณแม่จำเป็นที่จะต้องทำให้สุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดี หลีกเลี่ยงอาหาร และพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อเจ้าตัวน้อยได้นะคะ การฝากครรภ์ เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คุณแม่สามารถรับรู้ว่า สุขภาพของเจ้าตัวน้อยเป็นอย่างไรแข็งแรงดีมั้ยหรือมีความผิดปกติหรือไม่จะทำให้สามารถเตรียมตัวรับมือได้ทัน ซึ่งคุณหมอจะทำการนัดทุกเดือน และถี่ขึ้นเป็นทุก 2 อาทิตย์ หรือ ทุกอาทิตย์ ในช่วงใกล้คลอด เพื่อติดตามดูแลเจ้าตัวน้อยอย่างใกล้ชิด

 

เพื่อตรวจดูว่า เจ้าตัวน้อยมีการเจริเติบโต และพัฒนาการเป็นไปปอย่างปกติตลอดช่วงอายุครรภ์ หรือไม่ รวมถึงสังเกตท่านอน หรือสายรก ที่มีโอกาสพันคอของเจ้าตัวน้อย จนอาจเกิดอันตรายกับเจ้าตัวน้อยได้

 

เพื่อตรวจดูสุขภาพของคุณแม่ ว่ามีความสมบูรณ์พร้อม ในทุกช่วงระยะของการตั้งครรภ์ หรือไม่ คุณหมอที่วินิจฉัยโรคบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ และมีผลต่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์ เพื่อทำการรักษา หรือป้องกันได้ทันท่วงที เช่น โรคโลหิตจาง ครรภ์เป็นพิษ ซิฟิลิส ฯลฯ เป็นต้น

 

ช่วยป้องกัน หรือลดอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ คุณหมอจะช่วยแนะนำคุณแม่ให้ปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในแต่ละเดือน ระหว่างการตั้งครรภ์

รู้อย่างนี้แล้ว คุณพ่ออย่าพลาดการพาคุณแม่ไปฝากครรภ์นะคะ เพราะนอกจากเพื่อสุขภาพของคุณแม่แล้ว ยังมีผลกับพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยอีกด้วย เราจะได้เฝ้าติดตามดูการเจริญเติบโตของเจ้าตัวน้อย ตื่นเต้นไปพร้อมๆกันทั้งคุณพ่อคุณแม่ และคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย

บทความข้างต้นเป็นเพียงเหตุผลคร่าวๆบางส่วน ของความสำคัญในการฝากครรภ์ของคุณแม่ เพราะการฝากครรภ์ในปัจจุบันมีความสำคัญ ไม่ใช่แค่กับตัวคุณแม่เท่านั้นยังรวมไปถึงเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 17 พฤษภาคม 2564, 10:38:20 pm
ฝากครรภ์ที่ไหน และเมื่อไหร่ดี?

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ให้ทราบถึงความสำคัญของการฝากครรภ์กันค่ะ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/04/hanulsae_14566617_1138058776312130_1913868316502392832_n.jpg)

ถ้าถามว่า ฝากครรภ์ ควรฝากเมื่อไรดี ขอบอกว่า ทันทีที่คุณแม่รู้ตัวว่าท้องกำลังจะมีเจ้าตัวน้อยมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว ควรจะรีบ ฝากครรภ์ ให้เร็วที่สุดคะ เนื่องจากเจ้าตัวน้อย จะมีการเจริญเติบโต และพัฒนาการทางสมองรวดเร็วในช่วงแรก ดังนั้น ถ้าถึงมือคุณหมอ เราจะได้รับวิตามิน และโฟเลต (กรดโฟลิก) มาบำรุง ซึ่งจะเป็นการป้องกันการผิดปกติของเส้นประสาทของเจ้าตัวน้อยคะ

 

ส่วนเรื่องการ ฝากครรภ์ ควรฝากที่ไหนดี แนะนำว่า ควรฝากโรงพยาบาลที่คุณพ่อคุณแม่ไว้ใจที่ใกล้ตัวที่สุด อย่าลืมว่า เราไม่รู้ว่าจะปวดท้องคลอดเมื่อไร หากคุณแม่ฝากท้องไว้ไกลจากบ้าน หรือที่ทำงาน กว่าจะไปถึงโรงพยาบาล อาจไม่ทันการคะ สำหรับคุณแม่ที่มีโรคประจำตัวอยู่ ควรฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลเดียวกันกับที่ตรวจโรคประจำตัวนั้นๆ เพราะมีประวัติรักษา และการใช้ยาอยู่คะ และที่สำคัญอีกอย่างคืองบประมาณของคุณพ่อคุณแม่ตั้งงบไว้ค่ะ เพราะโรงพยาบาเอกชนและโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายต่างกันเยอะมากค่ะ

 

โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลรัฐ ที่ไหนดีกว่ากัน

โรงพยาบาลเอกชน เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีงบในการฝากครรภ์และทำคลอดคะ เพราะจะได้รับการตรวจ และติดตามผลจากคุณหมอคนเดิมทุกครั้ง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วย รวมถึงคลีนิคพิเศษที่คุณพ่อคุณแม่บางท่านต้องใช้บริการเนื่องจากปัจจัยเรื่องสุขภาพหรือภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการตรวจเป็นพิเศษของคุณแม่ จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าปกติ ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า แต่ไม่สะดวกสบายมักจะต้องรอคิวนานและต้องตื่นไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าเนื่องจากมีผู้เข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถระบุแพทย์ได้ ยกเว้นแต่จะขอฝากครรภ์พิเศษ ซึ่งคุณแม่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้นคะ

เมื่อคุณแม่ฝากครรภ์ คุณหมอจะนัดตรวจครรภ์โดยเฉลี่ยประมาณ 9 – 12 (คุณแม่บางท่านอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพของคุณแม่และเจ้าตัวน้อยในครรภ์) ซึ่งแต่ละครั้งมีค่าตรวจของคุณหมอ ค่ายาบำรุง ค่าอัลตร้าซาวด์ ค่าวัคซีน ค่าตรวจเลือด เจาะน้ำคล่ำ ตรวจพิเศษอื่นๆ เป็นต้น

 

ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์

โรงพยาบาลรัฐ

ค่าฝากครรภ์ครั้งแรก (รวมค่าตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ค่าคุณหมอ ฯลฯ) ประมาณ 1,500 บาท
ค่าตรวจครรภ์ ครั้งละประมาณ 80 – 300 บาท
ค่ายาตรวจการตั้งครรภ์ ประมาณ 1,000 บาท
ค่าอัลตร้าซาวด์ ครั้งละประมาณ 500 บาท
ค่าวัคซีน ประมาณ 200 บาท
ราคาข้างต้นที่ได้กล่าว เป็นราคาโดยประมาณเท่านั้น ยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ ในกรณีที่คุณแม่บางท่านมีภาวะแทรกซ้อนหรือมีภาวะเสี่ยงต่างๆ
โรงพยาบาลเอกชน

โรงพยาบาลเอกชนโดยส่วนมากจะเป็นแพ็คเกจเหมาจ่าย โดยครอบคลุมการตรวจทั้งหมด และแบ่งชำระเป็นงวด ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโรงพยาบาล บางแห่งรวมการฝากครรภ์ไว้กับแพ็คเกจคลอดด้วยก็มี ส่วนค่าใช้จ่าย นั้นจะเริมต้นที่ 10,000 – 30,000 บาท *โรงพยาบาลบางแห่งราคาแพงกว่านี้*
ตรวจครรภ์ตรวจอะไรบ้าง

โดยทั่วไปแล้ว  รายการที่ต้องตรวจในระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์ จะไม่ต่างกันมาก มีตามนี้คะ

ตรวจปัสาวะ เพื่อวัดปริมาณ น้ำตาล และไข่ขาว / ตรวจทุกครั้งที่ทำการนัดแพทย์

ตรวจเลือด / ตรวจครั้งเดียวตอนแรกตั้งครรภ์

ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CBC

ตรวจหมู่เลือด Blood Group + RH

ตรวจหาธาลัสซีเมีย ( Hb typing )

ตรวจหาภูมิไวรัสตับอักเสบ (  Anti HBs Ag  )

ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ (   HBs Ag  )

ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส ( VDRL )

ตรวจหาโรคเอสด์ ( HIV )

ตรวจหาเชื้อหัดเยอรมัน ( Rubella IgC )

อัลตราซาวด์ แบบ 2 มิติ / 2 – 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กันโรงพยาบาล โดยมากจะทำอัลตราซาวด์ตอนข่วงเดือน 4 หรือ 5 เพื่อดูความสมบูรณ์ของทารก และ ดูเพศ และทำอีกทีตอนเดือน 8 หรือ 9 เพื่อดูความพร้อมของทารกก่อนทำการคลอด

เจาะน้ำคร่ำ ในคุณแม่ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือมีเหตุจำเป็นอื่น

ในกรณีที่คุณแม่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนกันบาดทะยัก จะต้องฉีด 2 เข็ม ด้วยคะ

 

ถึงแม้ว่า การฝากครรภ์ จะมีเรื่องของค่าใช้จ่ายตามมา แต่ก็เทียบไม่ได้กับความสบายใจของคุณพ่อคุณแม่ ที่จะมั่นใจว่าเจ้าตัวน้อยของเรามีสุขภาพดี และกำลังเริงร่าอยู่ในท้องคะ

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 18 พฤษภาคม 2564, 10:38:17 pm
                                         การเตรียมตัวคลอดของคุณแม่

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

การเตรียมตัวคลอดอาจเป็นวิธีที่ช่วยให้คุณแม่คลายความเครียดและความวิตกกังวลในหลาย ๆ เรื่องได้ เพราะแม้จะมีกำหนดคลอดที่ชัดเจนแล้ว แต่ในบางครั้งการคลอดก็เป็นสิ่งที่ยากต่อการคาดการณ์ว่าจะเกิดเมื่อไหร่และเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้น การเตรียมความพร้อมให้ดีก็อาจช่วยให้ว่าที่คุณแม่รู้สึกมั่นใจมากขึ้น และช่วยให้ช่วงเวลาที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด เช่น เรียนรู้ขั้นตอนการคลอดเจ้าตัวน้อย ศึกษาเส้นทางไปโรงพยาบาล หรือจัดกระเป๋าเตรียมคลอด เป็นต้น

เตรียมตัวคลอดอย่างไรดี ?
เมื่อกำหนดการคลอดเจ้าตัวน้อยใกล้เข้ามาคุณพ่อคุณแม่ควรมี การเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุดอาจช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับมือกับปัญหาต่างๆ หรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้  โดยอาจจะเตรียมตัวคลอดเจ้าตัวน้อยด้วยวิธีดังต่อไปนี้

เรียนรู้ขั้นตอนการคลอดบุตร
คุณแม่ควรเริ่มเรียนรู้ขั้นตอนการคลอดเจ้าตัวน้อยในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อเข้าสู่อายุครรภ์ประมาณ 20 สัปดาห์ เพราะอาจช่วยให้เข้าใจระยะของการคลอด เรียนรู้วิธีจัดการกับความเจ็บปวด เทคนิคการหายใจ เทคนิคการผ่อนคลาย หรือรู้จักอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่อาจต้องใช้ในระหว่างคลอดเจ้าตัวน้อย โดยอาจศึกษาจากวิดีโอที่เชื่อถือได้ หรืออาจเข้าชั้นเรียนที่เปิดสอนในด้านการเตรียมตัวคลอดโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยไขข้อสงสัยหรือหาทางออกสำหรับความกังวลใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการคลอด

ปรึกษากับคุณแม่ที่มีประสบการณ์
การพูดคุยกับคุณแม่ท่านอื่นๆ ถึงประสบการณ์ต่างๆ ทั้งระหว่างตั้งครรภ์ การคลอด และหลังคลอด อาจช่วยให้รับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดได้ดีขึ้น เช่น ปัญหาภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ปัญหาการปัสสาวะหรือมีความต้องการทางเพศลดลง เป็นต้น

ศึกษาวิธีการให้นมลูกในเบื้องต้น
เจ้าตัวน้อยที่คลอดออกมาอาจไม่สามารถเริ่มดูดนมได้ในทันที ทั้งคุณแม่และเจ้าตัวน้อยจึงต้องเรียนรู้วิธีการดูดนมและให้นมระยะหนึ่ง ซึ่งการศึกษาวิธีให้นมเจ้าตัวน้อยอย่างถูกต้องในเบื้องต้นอาจช่วยให้คุณแม่มือใหม่รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการให้นมหลังคลอดได้

พูดคุยกับลูกคนอื่นๆ และจัดระเบียบสัตว์เลี้ยงในบ้าน
ลูก ๆ อาจยังไม่เข้าใจถึงการมีสมาชิกใหม่ในครอบครัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการปรับความเข้าใจในด้านต่าง ๆ ประมาณ 2-3 เดือนก่อนคลอด และหากมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน เจ้าของอาจต้องศึกษาวิธีการสอนสัตว์เลี้ยงให้อยู่ร่วมกับสมาชิกใหม่ในบ้านอย่างทารกได้ ซึ่งอาจศึกษาได้จากหนังสือ บทความ หรือคลิปวิดีโอ และอาจพาสัตว์เลี้ยงไปเข้าชั้นเรียนกับครูฝึกผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะได้เช่นกัน

วางแผนการเดินทางและการใช้ยานพาหนะไปโรงพยาบาล
ควรวางแผนว่าจะเดินทางไปโรงพยาบาลอย่างไรให้สะดวกและปลอดภัยทั้งในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ตรวจสมรรถภาพรถยนต์และเติมน้ำมันให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับค่าที่จอดรถด้วย รวมถึงอาจปรึกษาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านเพื่อเป็นแผนสำรองไว้หากเกิดเหตุขัดข้องใด ๆ ขึ้น พยายามหลีกเลี่ยงการโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน แต่ควรเตรียมความพร้อมทำตามแผนด้วยตนเองก่อน และเรียกรถพยาบาลต่อเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจริง ๆ เท่านั้น

ศึกษาเส้นทางไปโรงพยาบาล
อาจลองสำรวจก่อนว่าเส้นทางไปโรงพยาบาลที่จะคลอดนั้นกำลังปรับปรุงเส้นทางอยู่หรือไม่ และมีสภาพการจราจรเป็นอย่างไร เพื่อให้เตรียมเส้นทางสำรองอื่น ๆ เผื่อไว้ได้ สำรวจที่จอดรถที่สามารถเข้าสู่ตัวอาคารของโรงพยาบาลได้สะดวกที่สุด และศึกษาเกี่ยวกับกฎพื้นฐานของโรงพยาบาลและห้องคลอดต่าง ๆ ที่ควรรู้

จดรายชื่อเบอร์ติดต่อที่สำคัญ
ควรจดรายชื่อเบอร์ติดต่อที่สำคัญไว้ใกล้ตัว ในกระเป๋าถือ หรือบันทึกไว้ในโทรศัพท์ เพื่อให้สะดวกต่อการค้นหาในกรณีฉุกเฉิน เช่น เบอร์โรงพยาบาล เบอร์สามี หรือเบอร์ผู้เฝ้าไข้ เป็นต้น

เตรียมเครื่องนอนและเสื้อผ้าของเจ้าตัวน้อย
ซื้อและติดตั้งคอกสำหรับเจ้าตัวน้อย ที่นอน หรือเปลเด็กให้เรียบร้อย โดยตรวจดูให้ดีว่าติดตั้งถูกวิธีและได้มาตรฐานหรือไม่ พร้อมซักทำความสะอาดเครื่องนอนต่าง ๆ อย่างผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน รวมถึงผ้าอ้อมและเสื้อผ้าของเจ้าตัวน้อยด้วย โดยอาจซักผ้าแต่ละชนิดแยกกัน และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าปลอดสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อทารก

หาผู้ช่วยแบ่งเบาภาระหลังคลอด
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดอาจต้องหาหรือจ้างผู้ช่วยมาดูแลแบ่งเบาภาระต่างๆ ในบ้าน เช่น คนทำความสะอาดบ้านและดูแลสัตว์เลี้ยง พี่เลี้ยงเด็กสำหรับลูกคนอื่นๆ หรือพี่เลี้ยงเด็กตอนกลางคืนสำหรับดูแลทารกแรกเกิด เป็นต้น ซึ่งการหาคนมาช่วยดูแลหรือจ้างวานผู้ช่วยมาทำหน้าที่ต่างๆ อาจช่วยให้คุณแม่เหนื่อยน้อยลง ลดความกังวลด้านต่างๆ และช่วยให้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นด้วย

ซื้อตุนสิ่งของสำคัญต่างๆ
เมื่อกลับมาบ้านหลังคลอด คุณแม่อาจต้องยุ่งอยู่กับการดูแลเจ้าตัวน้อยและต้องการพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งการซื้อของใช้ที่จำเป็นต่างๆ เข้ามาเตรียมไว้ในบ้าน เช่น กระดาษทิชชู่ ผ้าอนามัย เสื้อชั้นในให้นมลูก แผ่นซับน้ำนม ขวดนม หรือผ้าอ้อมเด็ก จะช่วยลดภาระในการออกไปหาซื้อของใช้เพิ่มเติม และอาจทำอาหารแช่แข็งไว้อุ่นรับประทานในช่วงนี้ด้วย เพื่อประหยัดเวลาในการทำกับข้าว

จัดกระเป๋าเตรียมคลอด
ในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอด อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการจัดกระเป๋าเตรียมตัวคลอด เพื่อเตรียมของสำคัญต่างๆ ที่ต้องใช้ในโรงพยาบาลสำหรับตนเอง ผู้ที่มาเฝ้าไข้ และทารกแรกเกิด โดยข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ควรจัดใส่กระเป๋าเตรียมคลอด มีดังนี้

สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับคุณแม่ที่เตรียมคลอด และผู้ที่มาเฝ้าไข้
บัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน
สมุดฝากครรภ์ และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น บัตรประกันสุขภาพ เป็นต้น
เสื้อชั้นในสำหรับให้นมลูก
เครื่องใช้ในห้องน้ำ ลิปมัน ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมต่างๆ และยางรัดผม
ชุดสำหรับใส่ในวันกลับ
โทรศัพท์มือถือและสายชาร์จ
กล้องถ่ายภาพ หรือกล้องวิดีโอบันทึกภาพเคลื่อนไหว หากต้องการบันทึกภาพกับลูกน้อย
หนังสือ นิตยสาร หนัง หรือเพลง เพื่อความผ่อนคลาย
เงินสด

สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับเจ้าตัวน้อยแรกเกิด
ชุดนอนของทารกแรกเกิด
ผ้าห่อตัวเด็ก หรือผ้ามัสลิน
หมวกสำหรับทารกแรกเกิด
ผ้าอ้อม
สำลี
ชุดสำหรับให้เด็กใส่ในวันกลับ
สิ่งของที่ไม่ควรนำไปโรงพยาบาล
เครื่องประดับ
ของมีค่า หรือเงินสดจำนวนมาก
ยา หรือวิตามินต่างๆ ยกเว้นเมื่อต้องไปโรงพยาบาลที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือไม่มีประวัติการรักษาอยู่
หลังคลอดแล้ว คุณแม่จะถูกย้ายไปแผนกหลังคลอด โดยให้ผู้ที่มาเฝ้าไข้นำสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ไม่ใช้แล้วกลับไปเก็บ เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับวางอุปกรณ์หรือของใช้หลังคลอดอื่นๆ

ด้วยการเตรียมตัวคลอดอย่างรอบคอบ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณแม่รวมถึงคนรอบข้างสามารถรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ในวันพิเศษที่รอคอยมานานได้เป็นอย่างดี

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 19 พฤษภาคม 2564, 10:05:11 pm
โภชนาการก่อนคลอดของคุณแม่ มีความสำคัญกับเจ้าตัวน้อยอย่างไร

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

หลังจากที่เจ้าตัวน้อยเริ่มก่อตัวขึ้นในครรภ์ สิ่งแรกที่คุณแม่จะมอบให้กับเจ้าตัวน้อย ก็คือ “สารอาหาร” นั่นเองคะ ดังนั้น โภชนาการก่อนคลอดของคุณแม่ จึงเปรียบเสมือนของขวัญชิ้นแรก ที่มอบให้เจ้าตัวน้อย เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านควรให้ความสำคัญ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

คุณแม่รับประทานอะไรเจ้าตัวน้อยก็จะได้สิ่งนั้นด้วย โดยผ่านทางสายสะดือ ดังนั้น จึงบอกได้ว่า โภชนาการที่ดีจะช่วยให้คุณแม่และเจ้าตัวน้อยมีสุขภาพแข็งแรง และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย คุณแม่ควรรับประทานที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป อย่าลืมว่า เจ้าตัวน้อยยังตัวเล็กอยู่ เค้าไม่ต้องการปริมาณที่มาก แต่ต้องการให้ครบทุกหมู่นะคะ ซึ่งสำคัญมากๆเลยค่ะ

 

สารอาหารที่จำเป็น และมีความสำคัญต่อเจ้าตัวน้อย มีตามนี้จ้า

 

โภชนาการก่อนคลอดของคุณแม่ มีอะไรบ้าง

โปรตีน

โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อของเจ้าตัวน้อยในครรภ์รวมทั้งสมอง นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้เต้านมและมดลูกขยายตัวในระหว่างตั้งครรภ์ และมีบทบาทในการเพิ่มปริมาณเลือดให้มากขึ้นเพื่อส่งไปยังเจ้าตัวน้อย

แหล่งโปรตีน ที่สำคัญ เช่น : เนื้อสัตว์, ถั่ว, ไก่, ปลา, ถั่ว, เนยถั่ว

คุณแม่ต้องการโปรตีนเพิ่ม 60 มิลลิกรัมต่อวัน

 

แคลเซียม

แคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูกของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ของคุณแม่และควบคุมระบบของเหลวในร่างกาย

แคลเซียมเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ เนื่องจากในช่วงตั้งครรภ์ เจ้าตัวน้อยในครรภ์จะดึงแคลเซียมจากร่างกายของคุณแม่ไปสร้างกระดูกและฟันของตัวเองด้วย ดังนั้นหากคุณแม่ไม่ทานอาหารที่มีแคลเซียมเยอะๆ ร่างกายก็จะมีแคลเซียมไม่เพียงพอต่อการดูแลกระดูกและฟันของตัวคุณแม่เอง รวมไปถึงเจ้าตัวน้อยก็จะดึงแคลเซียมไปได้น้อยมากจนส่งผลต่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยได้เช่นกัน

 
คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรับแคลเซียมมากกว่าปกติจริงหรือไม่?

ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์จะดูดซึมแคลเซียมผ่านคุณแม่ เพราะช่วงเวลาที่เจ้าตัวน้อยอยู่ในครรภ์นั้นเป็นช่วงที่มีการพัฒนาการสูงมาก ร่างกายของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ต้องการการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก สร้างกล้ามเนื้อ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องบำรุงร่างกายเป็นพิเศษ เมื่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์ดูดซึมแคลเซียมผ่านคุณแม่ความหนาแน่นของมวลกระดูกคุณแม่จะลดลง เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับแคลเซียลที่เพียงพอ จะช่วยให้ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ลดการเกิดตะคริวได้อีกด้วย คุณแม่ตั้งครรภ์นั้นควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม

 

พบแคลเซียมได้จากไหนบ้าง?

เมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างแคลเซียมได้เอง ดังนั้นต้องอาศัยอาหารเหล่านี้มาเติมเต็มได้แก่ นม โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็ก กุ้งฝอย ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้ ผักใบเขียว ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากพืชผักได้น้อยกว่านมและก้างปลา ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ทำได้โดยดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว แบ่งเป็นนมวัว 1 แก้ว และนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมอีก 1 แก้ว ปลาที่กินทั้งกระดูก เช่น ปลาข้าวสาร ปลาตัวเล็ก กินร่วมกับข้าว ไข่ 1 ฟอง ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักใบเขียว ผลไม้ 2-3 ชนิด และเลือกอาหารไทยๆ ที่มีกะปิเป็นส่วนประกอบ เช่น แกงเลียง ต้มส้ม แกงเผ็ดต่างๆ เป็นต้น

 

ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กทำงานร่วมกับโซเดียม โพแทสเซียมและน้ำเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งจะช่วยให้ออกซิเจนเพียงพอจะจ่ายให้กับทั้งคุณแม่และเจ้าตัวน้อย

แหล่งเหล็ก : ผักใบเขียว, ผลไม้, ธัญพืช, เนื้อสัตว์, ไข่, ผลไม้แห้ง

คุณแม่ต้องการธาตุเหล็กเพิ่ม 30 มิลลิกรัมต่อวัน

 

โฟเลต (กรดโฟลิค)

โฟเลต หรือที่เรียกกันว่ากรดโฟลิค มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงการเกิดข้อบกพร่องของท่อประสาท ซึ่งจะมีผลต่อสมองและเส้นประสาทไขสันหลังของเจ้าตัวน้อย ตัวอย่างของข้อบกพร่องท่อประสาท ได้แก่ bifida Spina และ anencephaly

แหล่งโฟเลต : ตับ, ถั่ว, ไข่, ผักใบเขียวเข้ม

คุณแม่ต้องการโฟเลตเพิ่ม 15 มิลลิกรัมต่อวัน

 

การรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว นั้นยากที่จะทำให้คุณแม่รับปริมาณสารอาหารบางอย่างได้ครบ ดังนั้น คุณหมอจึงจัดวิตามิน, ธาตุเหล็ก และโฟเลต ให้คุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ เพื่อให้แน่ใจว่า คุณแม่และเจ้าตัวน้อย จะมีสุขภาพที่ดี พร้อมที่จะออกมาเผชิญโลกกว้าง

นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่ดี คุณแม่อย่าลืมดื่นน้ำเยอะๆ อย่างน้อย 8 แก้วในแต่ละวัน ด้วยนะคะ หรือถ้าสามารถดื่นน้ำเปล่าได้มากกว่าวันละ 8 แก้ว ได้ก็ยิ่งดีค่ะ

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 20 พฤษภาคม 2564, 10:38:10 pm
      สารอาหารที่สำคัญต่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อย  (1)

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรให้ความสำคัญในเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างมากค่ะ เพราะถ้าคุณแม่กินน้อยหรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อเจ้าตัวน้อยโดยตรง ทำให้เจ้าตัวน้อยมีพัฒนาการได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็นและอาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่ไม่แข็งแรง ถ้าเจ้าตัวน้อยได้รับสารอาหารที่เพียงพอ จะทำให้เจ้าตัวน้อยมีพัฒนาการที่ดีการเจริญเติบโตแข็งแรง ดังนั้นเรามาดูกันค่ะว่าสารอาหารที่จำเป็นต่อคุฯมีมีอะไรกันบ้าง

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

แคลเซียมกับการตั้งครรภ์
แคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูกของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ของคุณแม่และควบคุมระบบของเหลวในร่างกาย
แคลเซียมเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ เนื่องจากในช่วงตั้งครรภ์ เจ้าตัวน้อยในครรภ์จะดึงแคลเซียมจากร่างกายของคุณแม่ไปสร้างกระดูกและฟันของตัวเองด้วย ดังนั้นหากคุณแม่ไม่ทานอาหารที่มีแคลเซียมเยอะๆ ร่างกายก็จะมีแคลเซียมไม่เพียงพอต่อการดูแลกระดูกและฟันของตัวคุณแม่เอง รวมไปถึงเจ้าตัวน้อยก็จะดึงแคลเซียมไปได้น้อยมากจนส่งผลต่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยได้เช่นกัน


คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรับแคลเซียมมากกว่าปกติจริงหรือไม่?
ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์จะดูดซึมแคลเซียมผ่านคุณแม่ เพราะช่วงเวลาที่เจ้าตัวน้อยอยู่ในครรภ์นั้นเป็นช่วงที่มีการพัฒนาการสูงมาก ร่างกายของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ต้องการการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก สร้างกล้ามเนื้อ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องบำรุงร่างกายเป็นพิเศษ เมื่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์ดูดซึมแคลเซียมผ่านคุณแม่ความหนาแน่นของมวลกระดูกคุณแม่จะลดลง เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับแคลเซียลที่เพียงพอ จะช่วยให้ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ลดการเกิดตะคริวได้อีกด้วย คุณแม่ตั้งครรภ์นั้นควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม


พบแคลเซียมได้จากไหนบ้าง?
เมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างแคลเซียมได้เอง ดังนั้นต้องอาศัยอาหารเหล่านี้มาเติมเต็มได้แก่ นม โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็ก กุ้งฝอย ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้ ผักใบเขียว ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากพืชผักได้น้อยกว่านมและก้างปลา ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ทำได้โดยดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว แบ่งเป็นนมวัว 1 แก้ว และนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมอีก 1 แก้ว ปลาที่กินทั้งกระดูก เช่น ปลาข้าวสาร ปลาตัวเล็ก กินร่วมกับข้าว ไข่ 1 ฟอง ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักใบเขียว ผลไม้ 2-3 ชนิด และเลือกอาหารไทยๆ ที่มีกะปิเป็นส่วนประกอบ เช่น แกงเลียง ต้มส้ม แกงเผ็ดต่างๆ เป็นต้น


โปรตีนกับการตั้งครรภ์
คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการโปรตีนต้องมากแค่ไหน จึงเพียงพอต่อการเติบโตของเจ้าลูกน้อยในครรภ์
โปรตีนมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ ต่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ โปรตีนมีความสำคัญในการสร้างเนื้อเยื่อให้เจ้าตัวน้อย สร้างรก สร้างเม็ดเลือดแดง ให้มีสภาพสมบูรณ์ ซึ่งในขณะเดียวกัน ร่างกายคุณแม่เองก็ต้องการโปรตีน เพื่อช่วยซ่อมแซม และบำรุงเซลล์ต่างๆ และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย โปรตีนยังมีส่วนช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดแดงให้มากขึ้น และควบคุมน้ำหนักตัวคุณแม่ให้เหมาะสมอีกด้วยนะคะ


คุณแม่ต้องการโปรตีนในปริมาณมากน้อยเพียงใด เพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์อย่างเพียงพอทั้งต่อตัวคุณแม่ และเจ้าตัวน้อยน้อย สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ชาวไทยนั้น ปริมาณโปรตีนที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 77 กรัมค่ะ


แหล่งโปรตีนที่เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จัดว่าเป็นโปรตีนสมบูรณ์ หรือโปรตีนคุณภาพสูง เนื่องจากมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบทุกตัว ในสัดส่วนเหมาะสมที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์สารอาหารได้ โดยที่นิยามของกรดอะมิโนจำเป็นนั้น ก็คือ กรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น


แหล่งโปรตีนจากพืชจัดว่าเป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดกรดอะมิโนบางตัว หรือกรดอะมิโนที่พบก็มีปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ ดังนั้น เพื่อที่จะได้รับโปรตีนจากพืชอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณแม่จะต้องบริโภคโปรตีนจากพืช หลายๆ ชนิด เช่น ธัญพืชและถั่ว เช่น ต้องรับประทานข้าวและถั่วดำ ซึ่งอาจเป็นการทานในมื้อเดียวกัน หรือภายในวันเดียวกันก็ได้ วิธีการนี้จะช่วยเสริมโปรตีนให้ครบถ้วนมากขึ้นคะ


คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทานเนื้อสัตว์วันละ 12 ช้อนกินข้าว หรือมื้อละ 3 - 4 ช้อนกินข้าว สำหรับ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ แต่ถ้า เป็นโปรตีนจากแหล่งอื่น ๆ ปริมาณที่ควรทานจะเปลี่ยนไปตามตาราง


ตัวอย่างปริมาณที่ให้คุณค่าทางอาหารเท่ากับเนื้อสัตว์ 1 ช้อนกินข้าว
อาหาร   ปริมาณ
ไข่             ½           ฟอง
ถั่วเมล็ดแห้ง     1           ช้อนกินข้าว
เต้าหู้แข็ง     2           ช้อนกินข้าว
เต้าหู้อ่อน     6           ช้อนกินข้าว


ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้อนเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นยังมีอาหารอีกหลายประเภทที่มีประโยชน์ตามแต่ละท้องถิ่นและ ยังมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ อีกหลายชนิด เราจะมาต่อกันในตอนต่อไปนะคะ เนื่องจากข้อมูลรายละเอียดจะยาวมากแล้ว เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะเบื่อกันไปซะก่อน


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 21 พฤษภาคม 2564, 11:03:12 pm
         สารอาหารที่สำคัญต่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อย  (2)

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

วันนี้เราจะมาคุยกันต่อเกี่ยวกับเรื่องสารอาหารที่สำคัญต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ในบทความที่แล้วเรา พูดกันถึง แคลเซียม และ โปรตีน เรามาดูกันค่ะว่าสารอาหารตัวต่อไปมีอะไรกันบ้าง

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)
ธาตุเหล็กกับการตั้งครรภ์
ร่างกายของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้นต้องการธาตุเหล็กเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดแดงนั้นจะทำหน้าที่เพื่อเพิ่มและนำออกซิเจนไปสู่สมองของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ของคุณแม่ และส่งเสริมพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ หากคุณแม่และเจ้าตัวน้อยในครรภ์ขาดธาตุเหล็กก็จะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง อ่อนเพลีย ตัวซีด และอาจร้ายแรงถึงขั้นแท้งลูกได้ค่ะ

การที่ร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะรับธาตุเหล็กเพื่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ที่ถูกต้อง ควรรับจากการทานอาหารจะดีที่สุด เพราะเป็นธาตุเหล็กตามธรรมชาติในปริมาณที่เหมาะสม โดยช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 40 มิลลิกรัมต่อวัน (โดยปกติของคนทั่วไปควรได้รับ 15 มิลลิกรัมต่อวัน) อาหารที่มีธาตุเหล็กเหมาะสมกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง ตับ เนื้อปลา ผักใบเขียว ถั่วต่างๆ มะเขือพวง ใบขี้เหล็ก มะเขือเทศ ผักกาดหอม ฟักทอง มันเทศ เผือก ใบชะพลู ชะอม ใบขึ้นฉ่าย งา ใบกะเพรา ฯลฯ เป็นต้น

นอกจากนี้เรายังมี 5 เมนูอาหารของคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อเสริมธาตุเหล็กกระตุ้นพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์มาฝากค่ะ

1. บรอกโคลี ผัดตับหมูน้ำมันหอย – คุณแม่ตั้งครรภ์จะได้รับธาตุเหล็กจากตับหมู และบลอกโคลี่

2. ผักโขมอบชีส – คุณแม่ตั้งครรภ์จะได้รับธาตุเหล็กจากผักโขม และชีส

3. ยำคะน้ากุ้งสดถั่วบด – คุณแม่ตั้งครรภ์จะได้รับธาตุเหล็กจากคะน้า กุ้งสด และถั่วที่ใช้โรยหน้า

4. ปลานึ่งผัก – คุณแม่ตั้งครรภ์จะได้รับธาตุเหล็กจากเนื้อปลาและผักนึ่งต่างๆ

คำแนะนำในการทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเพื่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์

อาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์เลือกทาน จะต้องสดใหม่ มีความสะอาดเป็นสำคัญ
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทานหลายๆ เมนูสลับกันไป ไม่ควรทานเมนูเดิมๆ ซ้ำ เพราะอาหารแต่ละชนิดจะมีสารอาหารอื่นๆ อีกที่จำเป็นต้องร่างกาย
นอกจากทานอาหารที่มีธาตุเหล็กแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอต่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยในครรภ์อย่างรอบด้าน เช่น พัฒนาการทางสมอง พัฒนาการทางร่างกาย การเคลื่อนไหว รวมถึงพัฒนาการทางอารมณ์ที่สามารถสร้างได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ค่ะ

วิตามินกับการตั้งครรภ์

วิตามิน C
คุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ได้ทานวิตามินซีอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันการแท้งบุตรได้ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้หญิงตั้งครรภ์ ควรกินวิตามินซีประมาณ 70 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามิน E
วิตามินอี มีความสำคัญมากๆ สำหรับผู้หญิงที่เตรียมตัวตั้งครรภ์เพื่อมีเจ้าตัวน้อย เพราะจะช่วยให้ผู้หญิงมีไข่ตกตรงเวลา ง่ายต่อการคำนวณวันไข่ตกเพื่อการตั้งครรภ์ และรวมถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ด้วย จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อและเซลล์เม็ดเลือดของเจ้าตัวในครรภ์ได้ เพื่อสุขภาพที่ดีควรกินวิตามินอี 10 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามิน D
วิตามินดีช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกให้แก่เจ้าตัวน้อยในครรภ์ ทำให้โครงสร้างกระดูกมีความสมบูรณ์เมื่อเจ้าตัวน้อยโตขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินวิตามินดีวันละ 400 หน่วยสากล (IU)

วิตามินบีรวม (B1 B2 B3 B6 B12)

สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ที่แพ้ท้องสามารถกินวิตามินบี 6 เพื่อบรรเทาอาการแพ้ท้อง และควรกินวิตามินบี 1 (thiamine) 3 มิลลิกรัม / วิตามินบี 2 (riboflavin) 2 มิลลิกรัม / วิตามินบี 3 (niacin) 20 มิลลิกรัม / วิตามินบี 12 ปริมาณ 6 ไมโครกรัม เพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งคุณแม่และเจ้าตัวน้อยในครรภ์

OMEGA 3
โอเมก้า 3 จะช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนของคุณตั้งครรภ์ ทำให้มดลูกแข็งแรง ช่วยเรื่องการไหลเวียนของโลหิต ลดภาวะคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวเจ้าตัวน้อยดี เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และเจ้าตัวน้อย ควรกินโอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลาเป็นประจำ

สังกะสี
สำหรับคุณแม่ที่เตรียมจะตั้งครรภ์ สังกะสีจะช่วยทำให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานได้ดี และการแบ่งตัวของเซลล์ไข่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในผู้หญิงตั้งครรภ์ สังกะสี หรือ ซิงค์ มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ของเจ้าตัวน้อยในครรภ์อีกด้วย เพื่อสุขภาพครรภ์ที่สมบูรณ์คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินสังกะสี วันละ 15 มิลลิกรัม

ไอโอดีน
ไอโอดีน มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ในคุณแม่ตั้งครรภ์ การขาดไอโอดีนจะทำให้เจ้าตัวน้อยในครรภ์แคระแกรน เกิดความผิดปกติทางสมอง และหูหนวกได้ นอกจากนี้การได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอจะทำให้คลอดก่อนกำหนด หรือทำให้เจ้าตัวน้อยเสียชีวิตได้ เพื่อสุขภาพทางสมองที่สมบูรณ์ของเจ้าตัวน้อย คุณแม่ตั้งครรภ์ควรต้องกินไอโอดีนวันละ 175 - 200 ไมโครกรัม

ยังเหลือสารอาหารที่สำคัญอีก 1 ตัว ที่เราจะมาคุยกันในครั้งหน้าคะ นั้นก็คือ กรดโฟลิก(โฟเลต)

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 22 พฤษภาคม 2564, 02:15:39 pm
สารอาหารที่สำคัญต่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อย  (3)

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

วันนี้เราจะมาพูดกันถึงสารอาหารที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ นั้นก็คือ กรดโฟลิก(โฟเลต) นั้นเองค่ะ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเป็นเรื่องสำคัญในทุกช่วงวัยของชีวิตนะคะ อย่างไรก็ตามในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ก็มีสารอาหารบางอย่างที่จำเป็นต้องเสริมเพิ่มเติมให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยมากเป็นพิเศษ ได้แก่ ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, ไอโอดีน รวมถึง กรดโฟลิก (Folic Acid) จะต้องได้รับในปริมาณสูงกว่าปกติ หลักการรับประทานอาหารของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ควรเลือกอาหารที่มีความหลากหลายและมีสารอาหารครบถ้วน บำรุงร่างกายด้วยวิตามินและเกลือแร่อย่างเพียงพอเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อย พร้อมส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายแม่ในช่วงตั้งครรภ์ แต่ถึงแม้ว่าคุณแม่จะได้รับสารอาหารที่ดีที่สุดแล้ว ยังจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมให้เพียงพอและเหมาะสมกับร่างกายของคนท้องด้วยนะคะ

แนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนรับประทานวิตามินเสริมโดยเฉพาะกรดโฟลิก ที่ต้องเสริมก่อนหน้าตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนและตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก กรดโฟลิกจำเป็นอย่างยิ่งต่อพัฒนาการด้านหลอดประสาทของทารก หากคุณแม่มีข้อสงสัยสามารถปรึกษากับแพทย์เรื่องการดูแลสุขภาพก่อนที่จะเลือกรับประทานวิตามินและอาหารเสริมใด ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยระหว่างอุ้มท้องนะคะ

ประโยชน์ของกรดโฟลิกระหว่างตั้งครรภ์
กรดโฟลิกเป็นวิตามินในกลุ่มวิตามินบี เป็นรูปแบบอาหารเสริมเรียกว่าโฟเลต พบในผักสดหลายชนิด ในขั้นต้นกรดโฟลิกจะช่วยป้องกันไม่ให้เจ้าตัวน้อยมีพัฒนาการด้านหลอดประสาทที่ผิดปกติ โดยหลอดประสาทจะสร้างอวัยวะสำคัญต่างๆ ในร่างกายของเจ้าตัวน้อย ได้แก่ สมองและไขสันหลัง รวมถึงกระดูกที่เชื่อม 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ดังนั้น ซึ่งมีจำเป็นมากนะคะที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องได้รับกรดโฟลิกในปริมาณที่แพทย์กำหนดและเพียงพอ ถ้าคุณแม่ที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์แต่วางแผนว่าจะตั้งครรภ์เมื่อใด ควรจะต้องรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกและเสริมสารวิตามินนี้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ 1 เดือนและตลอด 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะกรดโฟลิกนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เจ้าตัวน้อยมีน้ำหนักแรกคลอดต่ำเกินไป ทั้งยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตให้มีพัฒนาการทางสมอง ป้องกันโรคพิการแต่กำเนิดและและช่วยให้ร่างกายเจ้าตัวน้อยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรสมบูรณ์ด้วยค่ะ

ถ้าคุณแม่วางแผนที่จะตั้งครรภ์ แนะนำให้เริ่มรับประทานอาหารเสริมกรดโฟลิกล่วงหน้าทันทีเลยค่ะ เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ทารกในครรภ์เติบโตอย่างมีคุณภาพ กรดโฟลิกมีความสำคัญในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แต่ถึงจะไม่ได้ตั้งครรภ์ การรับประทานกรดโฟลิกยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกายผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มากทีเดียว ควรเสริมกรดโฟลิกในมื้อเช้า ซึ่งจะพบมากในอาหารจำพวกขนมปังและธัญพืชนะคะ

ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แนะนำให้คุณแม่รับประทานอาหารเสริมกรดโฟลิกทุกวัน การเลือก อาหารสำหรับคนท้อง เป็นเรื่องสำคัญนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งคุณแม่และเจ้าตัวน้อยควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโฟเลตตามธรรมชาติ หรือคุณแม่ลองสอบถามแพทย์ผู้ดูแลก็ได้ค่ะว่าคนท้องควรเสริมวิตามินชนิดใดบ้าง เพราะวิตามินแต่ละยี่ห้อมีปริมาณแตกต่างกัน จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนว่ารับประทานยี่ห้อใดและปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ โดยปริมาณกรดโฟลิกที่แนะนำสำหรัคุณแม่ตั้งครรภ์คือ 400 ไมโครกรัมต่อวัน อาหารเสริมกรดโฟลิกโดยเฉพาะและวิตามินการตั้งครรภ์บางชนิด โดยทั่วไปมีปริมาณกรดโฟลิกเพียงพอต่อการรับประทาน 1 เม็ดต่อ 1 วัน คุณแม่จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับสารอาหารเสริมปริมาณเพียงพอแน่นอนค่ะ แต่ถ้าคุณแม่เลือกซื้อและเลือกทานในรูปแบบวิตามินรวม ที่ใน 1 เม็ดจะมีวิตามินรวมกับวิตามินประเภทอื่นๆ จำเป็นต้องตรวจสอบฉลากว่าแต่ละเม็ดมีปริมาณโฟเลตเท่าไรด้วยนะคะ เพราะอาหารเสริมแต่ละชนิดมีระดับวิตามินแตกต่างกันไป ควรเช็คให้ดีว่ารับประทานเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับสารอาหารที่แม่ท้องแต่ละคนต้องการ

อาหารที่มีโฟเลตสูง
การรับประทานอาหารเสริมโฟเลตในระหว่างตั้งครรภ์เป็นหลักโภชนาการที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรู้ค่ะ เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับคุณแม่และเจ้าตัวน้อยในครรภ์ แหล่งอาหารที่มีโฟเลตตามธรรมชาติมากที่สุด ได้แก่ ผักใบเขียว ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง บล็อกโคลี่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผลไม้ตระกูลส้ม พาสลี่ จมูกข้าวสาลี ธัญพืชที่เป็นส่วนผสมในขนมปัง รวมถึงถั่วเมล็ดแห้ง และคุณพ่อคุณแม่สามารถลองดูปริมาณกรดโฟลิกคร่าวๆตามอาหารที่ยกตัวอย่างมาดังนี้ค่ะ
• ถั่วเลนทิลต้มครึ่งถ้วย ให้โฟลิก 180 ไมโครกรัม
• กระเจี๊ยบมอญต้มครึ่งถ้วย ให้โฟลิก 134 ไมโครกรัม
• หน่อไม้ฝรั่งต้มสุก 6 หน่อ ให้โฟลิก 132 ไมโครกรัม
• ผักปวยเล้งต้มสุกครึ่งถ้วย ให้โฟลิก 130 ไมโครกรัม
• ถั่วแดงครึ่งถ้วย ให้โฟลิก 114 ไมโครกรัม
• อะโวคาโดสดครึ่งผล ให้โฟลิก 80 ไมโครกรัม
• น้ำส้มคั้น 1 แก้ว ให้โฟลิก 80 ไมโครกรัม
• ข้าวโพดนึ่ง 1 ฝักใหญ่ ให้โฟลิก 52 ไมโครกรัม
• สับปะรด 1 ขีด ให้โฟลิก 54 ไมโครกรัม

ประโยชน์ของการเสริมกรดโฟลิกในระหว่างตั้งครรภ์
ผู้หญิงที่วางแผนมีลูกควรเสริมกรดโฟลิกอย่างน้อยเป็นเวลา 6 เดือน - 1 ปีก่อนที่จะตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดได้มากถึง 50% หรืออย่างน้อยที่สุดควรรับประทานอาหารเสริมกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ 1 เดือนนะคะ

ประโยชน์ของการเสริมกรดโฟลิกในระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์
ข้อกำหนดขนาดของกรดโฟลิกที่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ มีดังนี้
• ช่วงก่อนตั้งครรภ์ควรได้รับ 400 ไมโครกรัมต่อวัน
• ช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ได้รับอย่างน้อย 400 ไมโครกรัมต่อวัน
• ช่วงเดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 9 ของการตั้งครรภ์ (ในเดือนที่ 4 - 6 และ 7 - 9 ของการตั้งครรภ์) ควรได้รับ 600 ไมโครกรัมต่อวัน
• ช่วงให้นมบุตรควรได้รับ 500 ไมโครกรัมต่อวัน

ประโยชน์ของการรับประทานกรดโฟลิก
การขาดกรดโฟลิกทำให้เด็กทารกเกิดภาวะหลอดประสาทไม่เชื่อมติดกันหรือ Neural Tube Defect (NTD) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
• Spina Bifida หรือพัฒนาการของไขสันหลังไม่สมบูรณ์ และ
• Anencephaly หมายถึงพัฒนาการของสมองส่วนสำคัญไม่สมบูรณ์

หากเจ้าตัวน้อยที่เกิดมามีภาวะไม่มีสมองหรือกะโหลกศีรษะจะทำให้เด็กเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย ส่วนเด็กที่เป็นโรคที่มีความบกพร่องของไขสันหลังจะพิการไปตลอดชีวิต การรับประทานอาหารเสริมโฟลิกอย่างเพียงพอตามที่กล่าวมาจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้กับเจ้าตัวน้อยในครรภ์ค่ะ ทั้งยังลดความเสี่ยงของภาวะหลอดประสาทไม่ปิดได้ถึง 70% หากคุณแม่เคยมีประสบการณ์คลอดลูกแล้วมีปัญหา NTD มาก่อน ยิ่งจำเป็นจะต้องเพิ่มปริมาณกรดโฟลิกที่ได้รับต่อวันให้มากขึ้นกว่าคนอื่น ประมาณ 4,000 ไมโครกรัมต่อวัน หรือมากกว่าคนอื่นประมาณ 10 เท่านะคะ

ประโยชน์ข้อสำคัญคือ กรดโฟลิกจะช่วยลดความเสี่ยงพิการในลักษณะโรคปากแหว่งเพดานโหว่ การแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ รวมถึงโรคหลอดเลือดสมองในของคุณแม่ได้ด้วยค่ะ เหตุผลที่ต้องปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ก่อน เพราะการรับประทานกรดโฟลิกมากเกินไปจะเกิดผลเสียได้เหมือนกัน อาจส่งผลทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคออทิสติก และถ้าเป็นลูกผู้หญิงอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนเมื่อโตขึ้นค่ะ

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 23 พฤษภาคม 2564, 09:35:12 pm
                        อาหารเพิ่มน้ำนมคุณแม่

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Favorite-Bamboo-Muslin_with-Baby_2.png)

อาหารบำรุงน้ำนม เชื่อว่าคุณแม่ส่วนใหญ่ให้เจ้าตัวน้อยดื่มนมจากเต้าของคุณแม่เอง เพราะน้ำนมแม่คือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อยและยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อเจ้าตัวน้อยอย่างครบถ้วน แต่การให้เจ้าตัวน้อยดื่มนมแม่นั้น คุณแม่จะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับเจ้าตัวน้อยด้วย เพราะการสร้างน้ำนมนั้นจะต้องดึงเอาสารอาหารที่คุณแม่ทานเข้าไป ไปผลิตเป็นน้ำนมนั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าคุณแม่จะทานอะไรก็จะส่งผลถึงเจ้าตัวน้อยเสมอ จึงควรคิดไว้เสมอว่าอาหารของแม่ก็คืออาหารของเจ้าตัวน้อยค่ะ จึงนำ 18 อาหารบำรุงน้ำนมมาแนะนำคุณแม่ค่ะ

 

มะละกอสุก

ผลไม้มากประโยชน์ที่มีรสชาติหวานอร่อยและสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำนมได้เป็นอย่างดี แถมมีฤทธิ์เป็นยาระบาย สามารถลดอาการท้องผูกในช่วงหลังคลอดได้อีกด้วย จึงเป็นเมนูที่คุณแม่หลังคลอดนิยมทานเพื่อเพิ่มน้ำนมมากที่สุด นอกจากนี้ การทานมะละกอสุกเป็นประจำ ก็จะช่วยในการลดน้ำหนักหลังคลอดได้ดีเช่นกัน

 

หัวปลี

หัวปลีหรือปลีกล้วย เป็นส่วนที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินซี แคลเซียมและฟอสฟอรัส โดยสารอาหารเหล่านี้สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำนมในแม่ลูกอ่อนได้ดี และมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ซึ่งหัวปลีก็สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนูด้วยกัน สำหรับเมนูที่เหมาะกับคุณแม่หลังคลอดที่สุด ได้แก่ แกงเลียงหัวปลี ทอดมันหัวปลี และยำหัวปลี เป็นต้น

 

ฟักทอง

ผักแสนอร่อยที่สามารถทำขนมก็ได้ ทำอาหารก็ดี โดยในฟักทองนั้นอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอและแร่ธาตุฟอสฟอรัส ที่นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายและบำรุงสายตาได้ดี แล้วก็นิยมทานเพื่อเพิ่มน้ำนมในคุณแม่หลังคลอดอีกด้วย โดยเมนูจากฟักทองที่คุณแม่ควรทาน ได้แก่ ฟักทองผัดไข่ และแกงฟักทอง เป็นต้น

 

แครอท

แครอท มีวิตามินสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ได้ดีและได้น้ำนมที่มีคุณภาพอีกด้วย นอกจากนี้ ก็สามารถบำรุงสายตาและผิวพรรณ ทั้งตัวคุณแม่เองและเจ้าตัวน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแครอทก็สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนูเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นต้มจืด หรือข้าวผัด

 

กระเทียม

สำหรับคุณแม่ที่ไม่ชอบทานกระเทียม คงต้องเปลี่ยนความคิดกันหน่อยแล้ว เพราะกระเทียมสามารถบำรุงน้ำนมหลังคลอดได้ดีที่สุด โดยจะทำหน้าที่ในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย ส่งผลให้มีการผลิตน้ำนมมากขึ้น แต่ก็อาจต้องระวังเรื่องกลิ่นตัวกันหน่อย เนื่องจากกระเทียมมีกลิ่นที่ฉุนแรงมาก จึงอาจทำให้เกิดกลิ่นตัวแรงได้นั่นเอง โดยการทานกระเทียมนั้น นอกจากทานในรูปของส่วนประกอบในอาหารแล้ว แนะนำให้ทานแบบสดๆ วันละ 5-6 กลีบจะช่วยในเรื่องของน้ำนมและปัญหาเหน็บชาได้ดี

 

ใบแมงลัก

ใบแมงลักเป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอม มีลักษณะคล้ายใบกะเพรา สามารถนำมาทานเพื่อขับลมหรือขับเหงื่อได้เป็นอย่างดี แถมยังมีธาตุเหล็กและแคลเซียมสูง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้น้ำนมของคุณแม่หลังคลอดไหลดีขึ้นอีกด้วย ในการนำมารับประทาน สามารถทานสดๆ หรือนำมาปรุงอาหารก็ได้

 

มะรุม

มะรุม พืชผักมากประโยชน์ที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูงมาก โดยส่วนใหญ่จะนิยมนำมาทานเพื่อเสริมสร้างกระดูกของคุณแม่หลังคลอด แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเร่งการขับน้ำนมได้เช่นกัน ซึ่งจะทานในส่วนของใบและดอกนั่นเอง สำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาน้ำนมน้อย ลองทานมะรุมกันดูค่ะ

 

ผักชีฝรั่ง

เมื่อน้ำนมออกน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูก การทานผักชีฝรั่งก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคุณแม่หลังคลอดเช่นกัน เพราะผักชีฝรั่งจะช่วยทดแทนการสูญเสียธาตุเหล็ก ที่มีความจำเป็นต่อการผลิตน้ำนม จึงทำให้คุณแม่มีน้ำนมมากขึ้น หมดปัญหาเรื่องน้ำนมไหลน้อยไปได้เลย

 

ผักคะน้า

คะน้า ผักที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก จึงสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำนมให้คุณแม่หลังคลอดและทำให้น้ำนมไหลดีมากขึ้น เพียงทานผักคะน้าบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการทานสดๆ หรือนำมาประกอบอาหารก็ตาม นอกจากนี้ ผักคะน้าก็มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายมีความแข็งแรงยิ่งขึ้นและต่อต้านการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย

 

ผักโขม

ผักโขม ตัวช่วยในการขับน้ำนมที่ดีที่สุด และอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและมีโปรตีนสูง จึงสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย และช่วยฟื้นฟูสุขภาพของคุณแม่หลังคลอดได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ ก็สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน

 

ยี่หร่า

ยี่หร่า อาหารเพิ่มน้ำนมแม่ที่ให้ผลลัพธ์ดีมาก ซึ่งก็อุดมไปด้วยวิตามินมากมาย ที่ไม่เพียงแต่จะเพิ่มน้ำนมเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อเจ้าตัวน้อย โดยส่งผ่านไปทางน้ำนมของแม่อีกด้วย หรือจะทานเพื่อลดอาการจุกเสียด แน่นท้องช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย และรักษาอาการเจ็บป่วยก็ได้เช่นกัน

 

ใบกะเพรา

น้ำนมออกน้อย ใบกะเพราะช่วยคุณได้ เพียงทานใบสดๆ เป็นประจำ ก็จะทำให้คุณแม่มีน้ำนมมากขึ้นและสามารถบำรุงธาตุไฟหลังคลอดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ หากมีอาการไข้หวัดหรืออาการคลื่นไส้อาเจียน คุณแม่ก็ยังสามารถทานใบกะเพราเพื่อบรรเทาอาการได้ด้วยเช่นกัน

 
ขิง

ขิง นอกจากจะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้แล้ว ก็สามารถบำรุงน้ำนมของคุณแม่หลังคลอดได้เหมือนกัน นั่นก็เพราะขิงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ที่มีส่วนช่วยในการผลิตน้ำนมโดยตรง ซึ่งการทานขิงอาจทานในรูปของการนำไปประกอบอาหารหรือที่นิยมมากที่สุด ก็คือ การทำน้ำขิงดื่มเพื่อสุขภาพและความสดชื่นนั่นเอง

 

กุยช่าย

กุยช่าย พืชผักที่คุณแม่หลังคลอดนิยมทานมากที่สุด เพราะมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาและการมองเห็นของเจ้าตัวน้อย โดยจะส่งผ่านไปทางน้ำนมของคุณแม่ ให้เจ้าตัวน้อยได้รับคุณประโยชน์แบบจัดเต็ม

 

ผักชีลาว

ผักชีลาว หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้มเคยมากนัก แต่ขอบอกเลยว่าสามารถกระตุ้นน้ำนมได้ดีสุดๆ ซึ่งก็จะทำให้คุณแม่หมดกังวลเรื่องน้ำนมน้อยไปได้เลย นอกจากนี้ผักชีลาวก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย เช่น ช่วยลดความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีความดันสูงและช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลายอาการปวดท้องได้อย่างดีเยี่ยม

 

เมล็ดขนุนต้มสุก

เมื่อทานขนุนหมดแล้ว อย่าเพิ่งทิ้งเมล็ดขนุนเชียวค่ะ นั่นก็เพราะว่าเมล็ดขนุนอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและเกลือแร่มากมาย สามารถนำมาต้มทานสุกๆ ช่วยขับน้ำนมและเพิ่มน้ำนมในคุณแม่หลังคลอดได้เป็นอย่างดี แถมยังมีฤทธิ์ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วย ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะจึงสามารถทานเมล็ดขนุนเพื่อบรรเทาอาการได้

 

มันเทศ

อีกหนึ่งอาหารเพิ่มน้ำนมที่ให้ผลลัพธ์โดนใจคุณแม่ ด้วยการกระตุ้นให้น้ำนมเพิ่มมากขึ้นและอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพของเจ้าตัวน้อย โดยจะทานยอดอ่อนของมันเทศนั่นเอง สามารถนำมาทานสดๆ ได้บ่อยตามต้องการ

 

ตำลึง

ตำลึงผักตระกูลเถาที่ปลูกง่ายมาก แถมทานง่าย อร่อยและมีประโยชน์อย่างมากมาย ที่สำคัญคือ สามารถบำรุงและเพิ่มน้ำนมแม่หลังคลอดได้ดี ทำให้คุณหมดกังวลเรื่องน้ำนมน้อยไปได้เลย หรือใครที่มีปัญหาเลือดจาง เสียเลือดมากหลังคลอด การทานตำลึงบ่อยๆ ก็จะช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดีเยี่ยม และจะช่วยบำรุงเส้นผม กระดูกและสายตาได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 25 พฤษภาคม 2564, 05:19:50 am
เทคนิคง่ายๆในการเพิ่มน้ำนมแม่ ให้มีมากยิ่งขึ้น

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

คุณแม่น้อยคนนักที่จะมีน้ำนมพร้อมสำหรับเจ้าน้อยในวันแรกที่ลืมตาดูโลก  กระบวนการสร้างน้ำนมของคุณแม่ ไม่ซับซ้อน แต่มีหลายปัจจัยที่ทำให้น้ำนมมามากและมาน้อยแตกต่างกันในคุณแม่แต่ละคน  วันนี้เราเคล็ดลับดีๆมาแนะนำเพื่อให้คุณแม่ทุกบ้านมีน้ำนมที่มากล้น เพื่อเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อย ก่อนอื่นคุณแม่ควรทำความรู้จักกับกลไกลการสร้างน้ำนมแม่ก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมในการกระตุ้นอย่างถูกวิธี



กระบวนการสร้างน้ำนมแม่

กระบวนการสร้างน้ำนมแม่เกิดขึ้นตั้งแต่ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ครบ 8 สัปดาห์ เต้านมของคุณแม่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ลานหัวนมจะใหญ่และสีเข้มขึ้น หัวนมอาจจะตั้งขึ้น เต้านมแข็งและตึง จากนั้นจะค่อยๆขยายขนาดออก ซึ่งเต้านมใหญ่หรือเล็กนั้นไม่ใช่ตัวกำหนดปริมาณน้ำนมแต่อย่างใด การมีน้ำนมมากหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนต่อมน้ำนมภายในเต้านมมากกว่า  และการกระตุ้นให้เจ้าตัวน้อยดูดนมอย่างถูกวิธีมากกว่า เมื่อตั้งครรภ์ในช่วง 2– 3 เดือนสุดท้ายก่อนครบกำหนดการคลอด ฮอร์โมนโปรแลคตินจะมีระดับสูงขึ้น ฮอร์โมนโปรแลคตินเป็นตัวการสำคัญในการผลิตน้ำนม น้ำนมแม่จะหลั่งได้เมื่อมีกลไกเกิดขึ้นดังนี้

 

เมื่อเจ้าตัวน้อยดูดนมแม่ ในขั้นตอนที่ 1 – 2 – 3 จะมีคำสั่งการไปยังสมองส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สมองส่วนหน้า โปรแลคตินถูกสร้างจากต่อมส่วนหน้า  ส่วนออกซีโตซินผลิตจากส่วนหลังของต่อมเดียวกัน โพรแลคติน จะถูกกระตุ้นให้หลั่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจ้าตัวน้อยดูดนมแม่ ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างน้ำนมขึ้นในต่อมน้ำนม  โพรแลคตินจะขึ้นสูงค้างอยู่หลังจากเจ้าตัวน้อยดูดนม นานประมาณ 30 นาที และลดลงหากเจ้าตัวน้อยไม่ได้ดูดนมต่อเนื่องบ่อยๆ สมองก็จะไม่ผลิตโพรแลคตินออกมาอีก น้ำนมก็จะผลิตออกมาน้อยตามไปด้วยค่ะ  และในขณะเดียวกัน สมองส่วนหลังก็หลั่ง ออกซิโตซินออกมา ทำให้เกิดการหลั่งน้ำนม การที่คุณแม่มีน้ำนมพุ่งออกมาจากเต้าเกิดจากออกซีโทซินกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเล็กๆ ที่อยู่รอบๆ ต่อมน้ำนม และกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่พันอยู่รอบๆ ท่อน้ำนมมีการบีบตัว   ทำให้น้ำนมไหลไปสู่ลูกอย่างต่อเนื่องค่ะ เพราะฉะนั้น การดูดจึงสำคัญต่อการสร้างและหลั่งน้ำนม

 

ผู้เชี่ยวชาญได้ศึกษากระบวนการสร้างและหลั่งน้ำนมในสัตว์ที่นิยมนำมาทำนมผงดัดแปลงสำหรับทารกพบว่า วัว แพะ มีการสร้างและหลั่งน้ำนมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เเพะเป็นสัตว์ที่มีการสร้างและหลั่งน้ำนมแบบอะโพไครน์ แบบเดียวกับนมแม่ จึงทำให้นมแม่และนมแพะมีสารอาหารจากธรรมชาติที่หลุดออกมาพร้อมกับน้ำนมในปริมาณสูง เรียกว่า Bioactive Components

 

น้ำนมเพื่อลูกรักทุกๆหยดต้องมี Bioactive Components เพราะ Bioactive Components ประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่สำคัญต่อเจ้าตัวน้อยคือ

 

นิวคลีโอไทด์ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ทอรีน ช่วยให้การทำงานของจอประสาทตาดีขึ้น

โพลีเอมีนส์ ส่งเสริมระบบทางเดินอาหารให้สมบูรณ์

โกรทแฟคเตอร์ ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต

นอกนมแม่และนมแพะจะมีกระบวนการสร้างน้ำนมแบบเดียวกันแล้ว นมแพะยังมีโครงสร้างของโปรตีนที่คล้ายคลึงกับนมแม่มากด้วยเช่นกัน คือ  โปรตีน CPP หรือ Casein Phosphopeptides เป็นโปรตีนที่พบมากในนมแพะและนมแม่โดยธรรมชาติ มีคุณสมบัติพิเศษคือ นุ่ม ย่อยง่าย ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้ง โปรตีน CPP ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารสำคัญ เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี และแมกนีเซียม

 

เทคนิคเพิ่มน้ำนมแม่ ให้มีมากยิ่งขึ้น

หัวใจสำคัญในการเพิ่มน้ำนมแม่ ให้มีมากและเหลือล้นนั้น คือ ทำให้ร่างกายหลั่งโปรแลคตินเพิ่มขึ้น โดยการให้ลูกดูดนมตามหลัก 4 ดูด ดังนี้

 

ดูดเร็ว เทคนิคในข้อนี้เน้นให้คุณแม่ทุกคนหลังลอดบุตรแล้ว หากฟื้นตัวดีแล้วและลูกอยู่ในสภาพร่างกายปกติ ให้นำมาดูดกระตุ้นนมแม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองชั่วโมงแรกหลังคลอดดีที่สุด


ดูดบ่อย ให้ดูดนมแม่ได้เลย ทุกๆ 2 ชั่วโมง สม่ำเสมอ ช่วยกระตุ้นให้น้ำนมมาเร็วมากขึ้น

ดูดถูกวิธี  ปากของเจ้าตัวน้อยต้องเปิดกว้าง เพื่ออมหัวนมให้ลึกที่สุดจนมิดลานนม ถ้าลานนมกว้างก็ให้อมให้มากที่สุด คางแนบเต้า ปลายจมูกชิดหรือแตะเต้านม และริมฝีปากบน-ล่างบานออก แบะๆลักษณะเหมือนปากปลา คางของลูกจรดกับเต้านมแม่ จมูกเจ้าตัวน้อยไม่ถูกสิ่งใดกดเบียด

 
ดูดเกลี้ยงเต้า เพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้รับน้ำนมส่วนท้าย ไม่ค้างเต้า การมีน้ำนมค้างเต้าทำให้ร่างกายรับรู้โดยอัตโนมัติ จึงไม่ผลิตน้ำนมมาเพิ่ม เพราะฉะนั้นหากเจ้าตัวน้อยดูดไม่หมดต้องปั๊มเก็บให้เกลี้ยงเต้าทุกครั้ง


ยิ่งให้เจ้าตัวน้อยดูดนมแม่มากเท่าไหร่ น้ำนมแม่ก็จะถูกผลิตออกมาเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอต่อความต้องการของเจ้าตัวน้อย ทั้งนี้คุณแม่ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงการทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ไม่มีความเครียด เพื่อส่งเสริมการสร้างและหลั่งน้ำนมให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 25 พฤษภาคม 2564, 05:21:31 am
เทคนิคง่ายๆในการเพิ่มน้ำนมแม่ ให้มีมากยิ่งขึ้น

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

คุณแม่น้อยคนนักที่จะมีน้ำนมพร้อมสำหรับเจ้าน้อยในวันแรกที่ลืมตาดูโลก  กระบวนการสร้างน้ำนมของคุณแม่ ไม่ซับซ้อน แต่มีหลายปัจจัยที่ทำให้น้ำนมมามากและมาน้อยแตกต่างกันในคุณแม่แต่ละคน  วันนี้เราเคล็ดลับดีๆมาแนะนำเพื่อให้คุณแม่ทุกบ้านมีน้ำนมที่มากล้น เพื่อเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อย ก่อนอื่นคุณแม่ควรทำความรู้จักกับกลไกลการสร้างน้ำนมแม่ก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมในการกระตุ้นอย่างถูกวิธี



กระบวนการสร้างน้ำนมแม่

กระบวนการสร้างน้ำนมแม่เกิดขึ้นตั้งแต่ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ครบ 8 สัปดาห์ เต้านมของคุณแม่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ลานหัวนมจะใหญ่และสีเข้มขึ้น หัวนมอาจจะตั้งขึ้น เต้านมแข็งและตึง จากนั้นจะค่อยๆขยายขนาดออก ซึ่งเต้านมใหญ่หรือเล็กนั้นไม่ใช่ตัวกำหนดปริมาณน้ำนมแต่อย่างใด การมีน้ำนมมากหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนต่อมน้ำนมภายในเต้านมมากกว่า  และการกระตุ้นให้เจ้าตัวน้อยดูดนมอย่างถูกวิธีมากกว่า เมื่อตั้งครรภ์ในช่วง 2– 3 เดือนสุดท้ายก่อนครบกำหนดการคลอด ฮอร์โมนโปรแลคตินจะมีระดับสูงขึ้น ฮอร์โมนโปรแลคตินเป็นตัวการสำคัญในการผลิตน้ำนม น้ำนมแม่จะหลั่งได้เมื่อมีกลไกเกิดขึ้นดังนี้

 

เมื่อเจ้าตัวน้อยดูดนมแม่ ในขั้นตอนที่ 1 – 2 – 3 จะมีคำสั่งการไปยังสมองส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สมองส่วนหน้า โปรแลคตินถูกสร้างจากต่อมส่วนหน้า  ส่วนออกซีโตซินผลิตจากส่วนหลังของต่อมเดียวกัน โพรแลคติน จะถูกกระตุ้นให้หลั่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจ้าตัวน้อยดูดนมแม่ ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างน้ำนมขึ้นในต่อมน้ำนม  โพรแลคตินจะขึ้นสูงค้างอยู่หลังจากเจ้าตัวน้อยดูดนม นานประมาณ 30 นาที และลดลงหากเจ้าตัวน้อยไม่ได้ดูดนมต่อเนื่องบ่อยๆ สมองก็จะไม่ผลิตโพรแลคตินออกมาอีก น้ำนมก็จะผลิตออกมาน้อยตามไปด้วยค่ะ  และในขณะเดียวกัน สมองส่วนหลังก็หลั่ง ออกซิโตซินออกมา ทำให้เกิดการหลั่งน้ำนม การที่คุณแม่มีน้ำนมพุ่งออกมาจากเต้าเกิดจากออกซีโทซินกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเล็กๆ ที่อยู่รอบๆ ต่อมน้ำนม และกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่พันอยู่รอบๆ ท่อน้ำนมมีการบีบตัว   ทำให้น้ำนมไหลไปสู่ลูกอย่างต่อเนื่องค่ะ เพราะฉะนั้น การดูดจึงสำคัญต่อการสร้างและหลั่งน้ำนม

 

ผู้เชี่ยวชาญได้ศึกษากระบวนการสร้างและหลั่งน้ำนมในสัตว์ที่นิยมนำมาทำนมผงดัดแปลงสำหรับทารกพบว่า วัว แพะ มีการสร้างและหลั่งน้ำนมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เเพะเป็นสัตว์ที่มีการสร้างและหลั่งน้ำนมแบบอะโพไครน์ แบบเดียวกับนมแม่ จึงทำให้นมแม่และนมแพะมีสารอาหารจากธรรมชาติที่หลุดออกมาพร้อมกับน้ำนมในปริมาณสูง เรียกว่า Bioactive Components

 

น้ำนมเพื่อลูกรักทุกๆหยดต้องมี Bioactive Components เพราะ Bioactive Components ประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่สำคัญต่อเจ้าตัวน้อยคือ

 

นิวคลีโอไทด์ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ทอรีน ช่วยให้การทำงานของจอประสาทตาดีขึ้น

โพลีเอมีนส์ ส่งเสริมระบบทางเดินอาหารให้สมบูรณ์

โกรทแฟคเตอร์ ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต

นอกนมแม่และนมแพะจะมีกระบวนการสร้างน้ำนมแบบเดียวกันแล้ว นมแพะยังมีโครงสร้างของโปรตีนที่คล้ายคลึงกับนมแม่มากด้วยเช่นกัน คือ  โปรตีน CPP หรือ Casein Phosphopeptides เป็นโปรตีนที่พบมากในนมแพะและนมแม่โดยธรรมชาติ มีคุณสมบัติพิเศษคือ นุ่ม ย่อยง่าย ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้ง โปรตีน CPP ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารสำคัญ เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี และแมกนีเซียม

 

เทคนิคเพิ่มน้ำนมแม่ ให้มีมากยิ่งขึ้น

หัวใจสำคัญในการเพิ่มน้ำนมแม่ ให้มีมากและเหลือล้นนั้น คือ ทำให้ร่างกายหลั่งโปรแลคตินเพิ่มขึ้น โดยการให้ลูกดูดนมตามหลัก 4 ดูด ดังนี้

 

ดูดเร็ว เทคนิคในข้อนี้เน้นให้คุณแม่ทุกคนหลังลอดบุตรแล้ว หากฟื้นตัวดีแล้วและลูกอยู่ในสภาพร่างกายปกติ ให้นำมาดูดกระตุ้นนมแม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองชั่วโมงแรกหลังคลอดดีที่สุด


ดูดบ่อย ให้ดูดนมแม่ได้เลย ทุกๆ 2 ชั่วโมง สม่ำเสมอ ช่วยกระตุ้นให้น้ำนมมาเร็วมากขึ้น

ดูดถูกวิธี  ปากของเจ้าตัวน้อยต้องเปิดกว้าง เพื่ออมหัวนมให้ลึกที่สุดจนมิดลานนม ถ้าลานนมกว้างก็ให้อมให้มากที่สุด คางแนบเต้า ปลายจมูกชิดหรือแตะเต้านม และริมฝีปากบน-ล่างบานออก แบะๆลักษณะเหมือนปากปลา คางของลูกจรดกับเต้านมแม่ จมูกเจ้าตัวน้อยไม่ถูกสิ่งใดกดเบียด

 
ดูดเกลี้ยงเต้า เพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้รับน้ำนมส่วนท้าย ไม่ค้างเต้า การมีน้ำนมค้างเต้าทำให้ร่างกายรับรู้โดยอัตโนมัติ จึงไม่ผลิตน้ำนมมาเพิ่ม เพราะฉะนั้นหากเจ้าตัวน้อยดูดไม่หมดต้องปั๊มเก็บให้เกลี้ยงเต้าทุกครั้ง


ยิ่งให้เจ้าตัวน้อยดูดนมแม่มากเท่าไหร่ น้ำนมแม่ก็จะถูกผลิตออกมาเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอต่อความต้องการของเจ้าตัวน้อย ทั้งนี้คุณแม่ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงการทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ไม่มีความเครียด เพื่อส่งเสริมการสร้างและหลั่งน้ำนมให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 26 พฤษภาคม 2564, 05:07:03 am
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังคลอด


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Favorite-Bamboo-Muslin_with-Baby_2.png)

มดลูก เป็นอวัยวะที่รับภาระหนักมาตลอด 9 เดือน จากที่มีขนาดเล็กเท่าผลชมพู่ กลับต้องมาขยายใหญ่กว่าผลแตงโมเพื่อรองรับเจ้าตัวน้อยในครรภ์ และหลังการคลอดแล้วยังต้องบีบรัดตัวให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ซึ่งทำให้เกิดการเจ็บปวดบ้างประมาณ 2 - 3 วัน และอาจเจ็บเล็กน้อยต่อไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์ จนมดลูกกลับเข้าสู่เชิงกราน หลังคลอดใหม่ๆ มดลูกจะมีน้ำหนักเกือบ 1 กิโลกรัม ซึ่งประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อมดลูก เศษเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวในระหว่างการตั้งครรภ์  และเลือด ถ้าคุณแม่คลำดูหน้าท้องก็จะพบว่ามดลูกมีขนาดโตเท่ากับตอนตั้งท้องได้ 4 -5 เดือน หรือเท่ากับผลส้มโอ เมื่อมดลูกหดตัวขนาดก็จะค่อยๆ ลดลงด้วย ในวันแรกหลังคลอดระดับของมดลูกจะอยู่ราวๆ ระดับสะดือของคุณแม่ และจะค่อยๆ ลดลงวันละประมาณ 1 นิ้วมือ ประมาณ 10 - 12 วันหลังคลอดคุณแม่ก็จะไม่สามารถคลำมดลูกตนเองได้จากทางหน้าท้องแล้ว และขนาดของมดลูกจะลดลงต่อไปอีกจนเมื่อคุณแม่กลับไปตรวจหลังคลอด 5 - 6 สัปดาห์ ขนาดของมดลูกก็จะเล็กลงเท่ากับขนาดปกติ คือ หนักประมาณ 50 กรัม


ช่องคลอดและแผลฝีเย็บ เป็นผิวหนังที่อยู่ระหว่างอวัยวะเพศกับทวารหนัก ในการคลอดอาจจะถูกกรีดเพื่อให้สะดวกต่อการคลอดและเย็บติดไว้ ไม่ว่าจะเย็บด้วยไหมละลายหรือใช้ไหมชนิดตัด แผลในช่องคลอดอาจจะบวมเล็กน้อย ทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บปวดแผลบ้าง นั่งได้ลำบากในช่วง 2 - 3 วันแรก หลังจากนั้นจะค่อยๆ หายไป และแผลในช่องคลอดจะหายสนิทใน 3 - 4 สัปดาห์หลังคลอด


เต้านม หลังการคลอดกลไกในร่างกายของคุณแม่จะกระตุ้นให้มีน้ำนม จึงอาจเกิดอาการคัดตึงบ้าง คุณแม่ควรให้เจ้าตัวน้อยดูดนมแม่ เพราะนอกจากจะช่วยลดอาการคัดตึงแล้ว เจ้าตัวน้อยยังได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้งภูมิต้านทานที่เหมาะสมและดีที่สุดจากแม่อีกด้วย


ผนังหน้าท้อง หลังคลอดแล้วบริเวณหน้าท้องที่เคยกลมนูนก็จะแบนราบลง แต่ไม่ใช่ว่าจะราบเรียบเสียทีเดียว เพราะคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะจากการบริหารร่างกายกว่าหน้าท้องจะกลับมาเป็นปกติ ในสมัยก่อนอาจมีคำแนะนำให้คุณแม่หลังคลอดลดหน้าท้องด้วยการอยู่ไฟหรือนาบหน้าท้อง โดยหวังว่าจะทำให้ผนังหน้าท้องหดเข้าที่ ปัจจุบันก็ทราบกันแล้วว่าไม่จริง เพราะการบริหารร่างกายหลังคลอดเท่านั้นที่จะช่วยให้ผนังหน้าท้องของคุณแม่ที่ยืดออกมากหดเข้าที่ ถ้าคุณแม่สามารถทำกายบริหารจนใส่กระโปรงหรือกางเกงตัวเดิมที่ใส่ได้ก่อนตั้งครรภ์ก็จะดีมาก


ปวดท้องน้อยหลังคลอด ในขณะตั้งครรภ์อวัยวะต่างๆ ที่อยู่ในอุ้งเชิงกรานจะยืดขยายออกตามขนาดของเจ้าตัวน้อย หลังจากคลอดแล้วก็จะมีการรัดหดตัวเพื่อกลับเข้าสู่ขนาดปกติ ด้วยเหตุนี้คุณแม่จึงปวดท้องน้อยเมื่อมดลูกหดรัดตัว ซึ่งอาการปวดนี้จะคล้ายๆ กับการปวดประจำเดือนหรือตอนเจ็บครรภ์เตือนในช่วงใกล้คลอด และคุณแม่จะรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อให้เจ้าตัวน้อยดูดนม เพราะฮอร์โมนออกซีโตซินที่หลั่งออกมาจะช่วยให้มดลูกหดรัดตัวดีขึ้น


ถ่ายปัสสาวะลำบาก และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คุณแม่อาจรู้สึกถ่ายปัสสาวะลำบากขึ้นเนื่องจากช่องคลอดและบริเวณทางเดินปัสสาวะยังมีอาการบวมอยู่ การขมิบกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดเหมือนตอนกลั้นปัสสาวะจะช่วยให้คุณแม่ถ่ายปัสสาวะได้ดีขึ้น ซึ่งอาการปวดขัดปัสสาวะนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปภายใน 2 - 3 วันหลังคลอด อย่างไรก็ตามถ้าคุณแม่มีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะแสบขัด ปวดหลังบริเวณใต้ชายโครงและเป็นไข้หนาวสั่นอยู่เป็นเวลานาน เนื่องจากระหว่างการคลอดศีรษะของทารกกดทับที่บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะอยู่นาน อาจทำให้น้ำปัสสาวะค้างขังอยู่นานหรือย้อนกลับขึ้นไปที่บริเวณไตจนทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ในทันที


อาการท้องผูก การเกิดท้องผูกในช่วงหลังคลอดนั้นมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวเพื่อบีบขับอุจจาระออกมามีการชะลอตัว ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหน้าท้องยังคงหย่อน ทำให้ความดันในช่องท้องลดลง ประกอบกับระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ก็ทำให้กล้ามเนื้อลำไส้คลายตัว คุณแม่หลังคลอดจึงเกิดอาการท้องผูกได้ง่าย และยิ่งมีแผลฝีเย็บด้วยแล้วคุณแม่ก็อาจกลัวเจ็บแผลจนไม่อยากถ่ายเลยก็ได้ ทำให้คุณแม่หลายคนยังมีอาการท้องผูกไปอีกหลายวัน ขอให้คุณแม่รับประทานอาหารที่มีกากใบมากๆ ดื่มน้ำให้มาก และพยายามเบ่งอุจจาระ ไม่ต้องกลัวว่าแผลจะแยก แล้วอาการท้องผูกจะค่อยๆ หายไป และช่วยลดอาการของริดสีดวงทวาร จึงทำให้คุณแม่สบายตัวขึ้น


ริดสีดวงทวาร คุณแม่หลังคลอดมักมีอาการของริดสีดวงทวารหรือเส้นเลือดขอดบริเวณทวารหนัก ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดที่บริเวณอุ้งเชิงกรานถูกกดทับเนื่องจากการตั้งครรภ์และการคลอด เมื่อคลำดูจะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนิ่มๆ ที่โป่งขึ้นมาบริเวณทวารหนัก ซึ่งอาจทำให้คุณแม่มีอาการเจ็บหรือมีเลือดออกร่วมด้วยขณะถ่ายอุจจาระ คุณแม่จึงควรปรึกษาหมอเพื่อช่วยดูแล


น้ำคาวปลา คือ เนื้อเยื่อและเลือดที่ไหลออกมาจากโพรงมดลูกหลังการคลอด ซึ่งเกิดจากการหลุดลอกตัวของรก น้ำคาวปลาจะถูกขับออกมาจากมดลูก 3 ระยะจนกว่าแผลจะหาย ใน 3 - 4 วันแรกน้ำคาวปลาจะมีสีออกแดงๆ และมีปริมาณค่อนข้างมาก ต่อจากนั้นจะค่อยๆ ลดปริมาณและมีสีจางลงเป็นสีชมพูหรือน้ำตาล และประมาณวันที่ 10 น้ำคาวปลาจะมีสีเหลืองขุ่นๆ หรือใสและจะหมดไปในที่สุด แต่คุณแม่บางรายอาจใช้เวลานานกว่านี้เป็นเดือนก็ได้ เพราะระยะเวลาในการมีน้ำคาวปลาของคุณแม่จะแตกต่างกันไปตั้งแต่ 2 - 6 สัปดาห์ แต่โดยทั่วไปจะมีประมาณ 3 สัปดาห์ ถ้าคุณแม่ให้เจ้าตัวน้อยดูดนมก็จะช่วยย่นระยะเวลาการมีน้ำคาวปลาให้สั้นลงได้ เพราะขณะที่ฮอร์โมนออกซีโตซินกระตุ้นให้เกิดการหลั่งของน้ำนมก็จะช่วยให้มดลูกหดรัดตัวกลับคืนสู่ภาวะปกติเร็วขึ้นและยังช่วยให้เสียเลือดน้อยลงได้อีกด้วย (ถ้าน้ำคาวปลาออกน้อยก็ไม่ต้องตกใจ เพราะในปัจจุบันแพทย์มักจะฉีดยาให้มดลูกหดตัว จึงทำให้เสียเลือดหรือน้ำคาวปลาน้อยลง ส่วนคำโบราณที่ว่า "คลอดแล้วน้ำคาวปลาต้องออกมา" นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะถ้าออกมากเกินไปก็แปลว่าต้องเสียเลือดมาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้)


น้ำหนักตัว หลังคลอดวันแรกน้ำหนักตัวของคุณแม่จะลดลงไปประมาณ 6 กิโลกรัม เนื่องจากลูกน้อยที่คลอดออกมา รก น้ำคร่ำ และน้ำที่คั่งอยู่ในร่างกายได้ถูกขับออกมาทางปัสสาวะและเหงื่อ ต่อจากนั้นน้ำหนักของคุณแม่จะลดลงเรื่อยๆ เมื่อถึงวันไปตรวจหลังคลอดน้ำหนักควรจะลดลงเท่ากับน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์หรือไม่เกิน 2 - 3 กิโลกรัม ถ้าคุณแม่มีน้ำหนักมากกว่าเดิมก็ควรออกกำลังกายและควบคุมอาหารให้เหมาะสม


ผมร่วง คุณแม่หลายคนมักมีอาการผมร่วงและผมบางหลังคลอด บางรายเกิดเร็วทันทีหลังคลอดจนถึงช่วง 2 - 3 เดือนต่อมา ก็ไม่ต้องตกใจหรือเป็นกังวลมากไปนะครับ ถ้าคุณแม่บำรุงร่างกายตามปกติ อีกไม่นานเส้นผมก็จะขึ้นใหม่เองค่ะ


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 26 พฤษภาคม 2564, 08:31:12 pm
การดูแลตัวเองหลังคลอด (กรณีคลอดเอง) ตอนที่ 1


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

การเคลื่อนไหวร่างกายหลังคลอด หลังการคลอดไม่มีการห้ามไม่ให้คุณแม่เคลื่อนไหวนะค่ะ แต่ในทางกลับกันแพทย์และพยาบาลจะส่งเสริมให้คุณแม่เคลื่อนไหวด้วยซ้ำ ด้วยการเดินไปห้องน้ำเองบ้าง ไปล้างหน้าและแปรงฟันบ้าง ฝึกดูแลเจ้าตัวน้อยบ้าง ทั้งนี้หมายถึงกรณีทั่วไปที่คุณแม่คลอดได้ตามปกติและไม่มีปัญหาใดๆ นะค่ะ เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้ร่างกายมีการขยับตัวของกล้ามเนื้อและทำให้แผลฝีเย็บสมานเร็วขึ้น แต่มีสิ่งที่ควรระวังอยู่ 2 อย่าง คือ 1 เนื่องจากคุณแม่เสียเลือดไปในขณะคลอดมากกว่าปกติ ฉะนั้นควรระวังอาการหน้ามืดเป็นลมในระยะหลังคลอดใหม่ๆ และ 2 อย่าลืมว่ามดลูกเพิ่งผ่านการทำงานมาอย่างหนัก ดังนั้น การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ขอให้ไม่ให้กระทบกระเทือนกับมดลูก เช่น การยกของหนัก หิ้วน้ำเป็นถังๆ ฯลฯ แบบนี้ไม่ควรทำค่ะ นอกเหนือจากนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายตามที่หมอแนะนำ การเดินไปไหนมาไหน หรือขึ้นลงบันไดก็ย่อมทำได้ครับ และถ้าครบเดือนไปแล้วก็ขับรถไปทำงานได้ตามปกติ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)
 

การดูแลแผลฝีเย็บ หลังการคลอดปกติทางช่องคลอด คุณแม่จะมีความรู้สึกปวดแผลฝีเย็บซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าปวดมากหมอจะให้ยาแก้ปวดเพื่อระงับการปวดแผลที่ฝีเย็บหรือแผลผ่าตัดทั่วๆ ไปก็ใช้ยาพวกไทลินอล (Tylenol) หรือพาราเซตามอล (Paracetamol) 2 เม็ดทุก 4 – 6 ชั่วโมง อาการก็จะทุเลาลง ส่วนการอบแผลด้วยความร้อนและการอาบน้ำอุ่นก็จะช่วยให้อาการบวมที่แผลลดน้อยลงและช่วยบรรเทาอาการเจ็บแผลได้เช่นกัน สำหรับยาแก้อักเสบนั้นหมอจะจ่ายให้เฉพาะผู้ที่ไม่ได้เตรียมการคลอดให้สะอาดหรือแผลฝีเย็บกว้างเท่านั้น เพื่อป้องกันการอักเสบของแผล (บางคนขอให้หมอสั่งยาดีๆ ให้ แผลจะได้หายเร็ว แต่ความจริงแล้วยาที่จะทำให้แผลหายเร็วไม่มีนะครับ ถ้าคุณแม่ดูแลร่างกายอย่างดี บำรุงอย่างดี ร่วมกับการคลอดที่ถูกถูกวิธีก็จะช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น)

 

การล้างแผลฝีเย็บ นั้นควรล้างด้วยน้ำต้มสุกอุ่นๆ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างแผลเป็นพิเศษแต่อย่างใด เมื่อล้างเสร็จแล้วให้ใช้ผ้าสะอาดหรือสำลีซับให้แห้งก็เพียงพอแล้ว (หากแผลโดนน้ำตอนอาบน้ำก็ไม่มีปัญหาครับ แค่ล้างด้วยน้ำเปล่าโดยปล่อยให้ไหลรินผ่านก็พอ ห้ามใช้หัวฉีดล้างชำระหรือใช้ฝักบัวล้างโดยตรง เพราะแรงดันของน้ำอาจทำให้แผลเปิดแยกออกจากกันได้ และยังอาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปสู่ส่วนลึกๆ ของแผลได้อีกด้วย) หลังจากนั้น 5 – 6 วันแผลก็มักจะติดกันและแห้งดี ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ

หลังปัสสาวะคุณแม่ควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นชำระล้างบริเวณแผลก็เพียงพอแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอาการแสบคันและป้องกันการอักเสบได้ ส่วนภายหลังการถ่ายอุจจาระเสร็จ คุณแม่ควรใช้กระดาษชำระเช็ดไปทางด้านหลัง ไม่ควรเช็ดออกมาทางด้านหน้า เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคเข้ามาปนเปื้อนบริเวณแผลจนเกิดการอักเสบได้

ในช่วงหลังคลอดจะมีน้ำคาวปลาไหลซึมออกมาทางช่องคลอด คุณแม่ก็ต้องใส่ผ้าอนามัยเอาไว้ตลอดและเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เพราะหากแผลแฉะอับชื้นก็จะทำให้เกิดการอักเสบได้

 

สถานพยาบาลบางแห่งนิยมอบแผลด้วยไฟฟ้า ซึ่งโดยปกติแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำและไม่ค่อยได้ช่วยอะไร แต่ถ้าแผลบวมมาก การอบไฟฟ้าหรือนั่งแช่น้ำอุ่นเช้าและเย็นครั้งละ 15 นาที เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณปากช่องคลอดมากขึ้น ก็อาจจะช่วยให้หายเร็วขึ้นได้บ้างครับ

 

การอยู่ไฟ การอยู่ไฟของคนไทยได้ทำสืบต่อกันมาอย่างยาวนานจนบางคนเรียกระยะหลังคลอด “ระยะอยู่ไฟ” เพราะเชื่อกันว่าการอยู่ไฟจะช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งช่วยบรรเทาอาการอาการปวดและบำบัดโรคหลังคลอดได้ ซึ่งก็มีทั้งการอยู่ไฟแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ แต่ควรอยู่ไฟอ่อนๆ ห้ามนำเจ้าตัวน้อยเข้าไปอยู่ไฟด้วย และในระหว่างการอยู่ไฟจะทำให้ร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก จึงอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ คุณแม่จึงควรดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าเดิม (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ การอยู่ไฟหลังคลอด)

 

การนั่งและยืนให้ถูกท่า ผู้หญิงเวลานั่งบริเวณฝีเย็บจะโดนน้ำหนักตัวทับลงกับพื้น จึงทำให้คุณแม่หลังคลอดใหม่ๆ นั่งตรงไม่ค่อยได้ หรือคนที่ชอบนั่งขัดสมาธิ ซึ่งการนั่งท่านี้ขาจะฉีกแยกจากกัน จึงทำให้แผลที่ตึงอยู่แล้วก็แทบจะปริแยกออกจากกัน แต่ท่านั่งที่ดีที่สุดก็คือ “ท่านั่งพับเพียบ” เพราะการนั่งท่านี้จะไม่ทำให้เจ็บแผลมาก แต่ถ้ายังนั่งไม่ถนัดก็ให้คุณแม่หาเบาะนุ่มๆ หรือหมอนรองนั่งมารองก็ได้ เพราะจะช่วยให้คุณแม่นั่งได้ง่ายขึ้นและมีอาการเจ็บปวดไม่มาก แต่เวลาจะลุกจะนั่งก็ต้องระวังด้วยนะครับ อย่าก้าวขามากเกินไปหรือลุกนั่งเร็วเกินไป เพราะจะทำให้แผลฝีเย็บที่ยังไม่หายดีปริออกจนต้องเย็บใหม่ได้ ส่วนท่ายืนนั้นจะตรงข้ามกับท่าเดิน คุณแม่ไม่ควรเดินหนีบๆ เพราะจะทำให้แผลเกิดเสียดสีกัน แต่ให้เดินแบบแยกขาออกจากกันเล็กน้อย เดินแยกนิดหน่อยแต่พองาม โดยให้เดินอย่างนี้ประมาณ 7 วันแล้วแผลก็จะค่อยๆ หายเอง หลังจากนั้นก็สามารถกลับมาเดินในท่าปกติได้ครับ

 

การให้นมเจ้าตัวน้อย คุณแม่ควรกระตุ้นให้น้ำนมไหลด้วยการให้เจ้าตัวน้อยดูดนมทันทีหลังคลอดและดูดบ่อยๆ ทุก 2 ชั่วโมง สลับข้างกัน ไม่ควรให้น้ำร่วมด้วยเพราะจะทำให้ลูกอิ่มเร็ว ไม่ค่อยดูดนม คุณแม่ไม่ควรเลี้ยงเจ้าตัวน้อยด้วยนมแม่สลับกับขวดนม เพราะจะทำให้เจ้าตัวน้อยติดหัวนมยางได้ เวลาให้นมเจ้าตัวน้อยคุณแม่ควรให้เจ้าตัวน้อยคาบหัวนมไปจนถึงบริเวณลานหัวนม (มิดลานนม) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหลั่งของน้ำนม (หากเจ้าตัวน้อยกินไม่หมดก็สามารถบีบเก็บไว้ในตู้เย็นได้) เพื่อป้องกันหัวนมแตก และยังมีผลทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วและไม่ทำให้เจ้าตัวน้อยดูดลมเข้าทางมุมปากเพื่อป้องกันเจ้าตัวน้อยท้องอืดได้อีกด้วย

 

คุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งให้เจ้าตัวน้อยดูดนม อาจรู้สึกเจ็บหัวนมเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการงับดูดนมของเจ้าตัวน้อยยังไม่ถูกต้อง ถ้าคุณแม่ให้เจ้าตัวน้อยงับไปถึงลานหัวนมก็จะช่วยป้องกันไม่ให้หัวนมเจ็บได้ ถ้ารู้สึกเจ็บหัวนมอาจใช้โลชั่นทาที่แผ่นผ้าซับน้ำนมเพื่อลดการเสียดสีที่หัวนม หรือให้ใช้น้ำนมของคุณแม่ทาบริเวณหัวนมซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้บ้าง และช่วยให้แผลบริเวณหัวนมหายเร็วขึ้นอีกด้วย

 

ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของการให้นมอาจเกิดปัญหาท่อน้ำนมอุดตันได้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากอาการคัดเต้านม มีสิ่งติดค้างอยู่ที่หัวนมทำให้น้ำนมไหลไม่สะดวก หรือคุณแม่ใส่ยกทรงรัดแน่นเกินไป ถ้าคลำดูก็จะพบว่ามีก้อนในเต้านมและผิวบริเวณนั้นจะบวมแดง คุณแม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการให้ลูกดูดนม แล้วคลึงบริเวณที่เป็นก้อนเบาๆ ช่วยให้น้ำนมไหลพุ่งเพื่อจะได้มีแรงดันท่อที่อุดตันให้เปิดออก หรืออาจใช้น้ำอุ่นประคบ แต่ถ้าลองแล้วยังไม่ได้ผลก็ควรปรึกษาแพทย์ เพราะถ้าปล่อยไว้อาจทำให้เป็นฝีที่เต้านมได้

 

คุณแม่ล้างมือให้สะอาดก่อนจับเต้านมทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่ไม่จำเป็นต้องเช็ดหัวนมทุกครั้งที่ให้นมลูก

 

ควรดูแลรักษาความสะอาดเต้านมและหัวนมด้วยทุกครั้งทั้งก่อนและหลังลูกดูดนมเสร็จ โดยใช้น้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดและซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด (ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณเต้านม)

 

การดูแลเต้านม ในช่วงหลังคลอดและให้นมลูก เต้านมของคุณแม่จะมีขนาดและน้ำหนักมากเป็น 3 เท่าของเต้านมปกติ ทำให้เอ็นที่พยุงเต้านมเกิดการยืด คุณแม่จึงควรสวมยกทรงพยุงไว้เพื่อช่วยป้องกันการหย่อนยานและลดความเจ็บปวด และควรให้เต้านมแห้งสะอาดก่อนสวมชั้นในทุกครั้ง คุณแม่ไม่ควรสวมยกทรงแบบที่เป็นโครงเหล็ก เพราะอาจจะไปกดทับท่อน้ำนม

 

ถ้ารู้สึกเจ็บปวดเต้านมใน 2 – 3 วันหลังคลอด จะเป็นการคั่งของเลือดและน้ำเหลืองให้คุณแม่ประคบด้วยความเย็นและความร้อนสลับกันเพื่อลดความเจ็บปวด

 

อาการตึงคัดเต้านมหลังคลอดนั้น ถ้าคุณแม่ให้ลูกดูดนมก็จะช่วยลดอาการตึงคัดได้

คุณแม่ควรใช้สำลีชุบน้ำหรือโลชั่นทำความสะอาดเต้านม ไม่ควรใช้สบู่เพราะจะทำให้หัวนมแตกและเจ็บได้

 

สำหรับการดูแลเต้านมก็แค่ทำพร้อมกับการอาบน้ำในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว และหากมีปัญหาหัวนมแตกหรือเจ็บ ควรใช้ครีมทาตามที่แพทย์สั่งและงดให้นมข้างนั้นจนกว่าจะหาย ในระหว่างงดให้นมคุณแม่ควรบีบน้ำนมทิ้งเพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของน้ำนมไปด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์)

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)

คู่มือมารดาหลังคลอดและการดูแลทารก.  (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 27 พฤษภาคม 2564, 10:53:37 pm
การดูแลตัวเองหลังคลอด (กรณีคลอดเอง) ตอนที่ 2


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

การรักษาความสะอาดของร่างกาย ถ้าเป็นการคลอดทางช่องคลอดปกติ คุณแม่สามารถอาบน้ำสระผมได้ตามปกติ อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และสระผมได้สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง เพราะในระหว่างรอคลอดและการคลอด นอกจากคุณแม่จะได้ใช้พลังงานในการเบ่งคลอดไปมากแล้วยังทำให้ร่างกายมีเหงื่อไคลซึ่งอาจหมักหมมได้ แต่สิ่งที่ควรระวังสำหรับการอาบน้ำก็คือ อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย เนื่องจากร่างกายในช่วงหลังคลอดยังอ่อนเพลียอยู่ ส่วนการเข้าห้องน้ำก็ต้องระวังเรื่องการลื่นล้ม เพราะร่างกายอ่อนเพลียที่อาจทำให้คุณแม่หน้ามืดเป็นลมได้ง่าย และควรล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสอวัยวะเพศ เพราะอวัยวะเพศจะมีแผลทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

การเปลี่ยนผ้าอนามัย ในช่วงหลังคลอดน้ำคาวปลาจะออกมาก 2 – 3 วันแรก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ คุณแม่ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ โดยให้เปลี่ยนทันทีที่รู้สึกว่าผ้าอนามัยมีเลือดชุ่มหรือเปลี่ยนบ่อยๆ ทุกๆ 3 ชั่วโมง เพื่อความสะอาดอยู่เสมอ อย่าให้เกิดการหมักหมมหรือมีกลิ่นเหม็น เพราะจะทำให้ฝีเย็บเกิดการอักเสบได้ง่าย และควรดึงจากทางด้านหน้าไปด้านหลังทั้งหมดเพื่อป้องกันการติดเชื้อภายในช่องคลอด ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายได้ (ไม่ควรใช้ผ้าอนามัยแบบสอด)


อาหารการกินของคุณแม่หลังคลอด โดยทั่วไปอาหารสำหรับคุณแม่หลังคลอดควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด และมีกากใยมาก เพื่อป้องกันอาการท้องผูก เนื่องจากในช่วงหลังคลอดระยะแรกๆ ฮอร์โมนที่ทำให้ท้องผูกยังออกฤทธิ์อยู่ (ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน) ประกอบกับระยะนี้คุณแม่ไม่อยากเบ่งอุจจาระเพราะกลัวเจ็บแผล ก็ยิ่งมีโอกาสท้องผูกมากขึ้น ส่วนอาหารรสจัดก็ควรงดไปก่อน เพราะอาจทำให้คุณแม่ท้องเสียได้ง่าย


สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเอาใจใส่ คุณแม่ต้องคิดถึงปริมาณและคุณค่าที่จะได้รับอย่างเพียงพอในแต่ละวัน โดยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ ตับ นม ไข่ ผักและผลไม้สด ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมาก เพราะจะช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอจากการคลอด ทำให้สุขภาพของคุณแม่กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม และช่วยให้มีสารอาหารเพียงพอที่จะสร้างน้ำนมที่มีคุณภาพให้แก่ลูก (โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ คุณแม่ควรรับประทานให้มาก เพื่อเอาไปสร้างน้ำนมให้ลูก และเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว ส่วนไขมันและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้แก่ แป้ง ข้าว และน้ำตาลนั้น ควรกินให้น้อย คุณแม่ที่อ้วนอยู่แล้วจะได้ไม่อ้วนหนักมากไปกว่าเดิม)

คุณแม่รับประทานอาหารทะเลบ้างเพื่อน้ำนมแม่จะได้มีแร่ธาตุไอโอดีนสำหรับเพิ่มไอคิวให้แก่ลูก นอกจากนั้นก็ตองรับประทานผักและผลไม้ให้มากเพื่อป้องกันภาวะท้องผูก ควรดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนรู้สึกกระหาย และควรดื่มน้ำทุกครั้งก่อนให้นมลูก หากต้องการดื่มน้ำหวานควรดื่มน้ำผลไม้คั้นสดแทน (คุณแม่บางรายที่อาจยังไม่อยากรับประทานอาหาร ควรได้รับวิตามินเสริมไปจนกว่าจะได้ตรวจหลังคลอด)

คุณแม่หลังคลอดสามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่มีของแสลงอย่างที่หลายคนข้าใจกัน เช่น การให้กินข้าวกับเกลือหรือปลาเค็มเป็นเวลานานและงดเนื้อสัตว์อื่นๆ ซึ่งจะทำให้กลายเป็นโรคขาดสารอาหารได้ หรือให้กินแต่เนื้อสัตว์อย่างเดียว ไม่ให้กินผักผลไม้เลย ก็จะทำให้ร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุ รวมทั้งกากใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายที่ควรได้รับไป

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ รวมถึงอาหารปรุงไม่สุก อาหารรสจัดมากเกินไป และอาหารหมักดองทุกชนิดคุณแม่ควรหลีกเลี่ยง ส่วนการรับประทานยาหรือเครื่องดื่มสมุนไพรต่างๆ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะสมุนไพรบางชนิด เช่น ไพล มีฤทธิ์ทำให้มดลูกคลายตก ซึ่งอาจทำให้คุณแม่ตกเลือดได้ จึงควรเลี่ยงการใช้ยาและอาหารบางชนิด

หากคุณแม่มีความกังวลในเรื่องของน้ำหนักตัว ควรงดอาหารประเภทที่มีแป้งและอาหารที่มีไขมันมาก โดยเฉพาะไขมันที่มาจากเนื้อสัตว์และอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ควรกินแต่พอสมควรนะคะ และควรงดขนมหวาน เพราะอาหารพวกนี้ล้วนแต่ทำให้อ้วนและให้ประโยชน์แก่ร่างกายน้อย แต่ไม่ควรใช้วิธีอดอาหาร

คนโบราณมักให้หญิงหลังคลอดกินยาดองเหล้าซึ่งทำจากสมุนไพรต่างๆ ดองกับเหล้าขาว สมุนไพรที่มีอยู่ในเหล้านั้นก็ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพราะมักจะไม่บอกส่วนผสมว่าใส่อะไรลงไปบ้าง ส่วนชาวจีนนิยมให้กินไก่หรือหมูผัดขิงผสมเหล้า ถ้าไม่ใส่เหล้าก็คงจะดีหรอกครับ เพราะไก่เป็นอาหารที่ให้โปรตีน สำหรับขิงนั้นก็เป็นสมุนไพรชนิดที่ช่วยเรื่องระบบการย่อยอาหาร ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ดี จึงไม่ห้ามถ้าจะกินไก่ผัดกับขิง แต่การใส่เหล้าลงไปในอาหารหรือการให้กินยาดองเหล้า เพื่อหวังที่จะให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ดี ซึ่งความจริงแล้วไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลยครับ เพราะแค่เป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดีเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้แข็งแรงเหมือนที่เข้าใจกัน แต่กลับตรงกันข้าม คุณแม่ที่เป็นโรคขาดสารอาหารและโลหิตจางด้วยแล้ว เหล้ายังเข้าไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้หน้าที่ของตับเสื่อมลงได้ง่าย และยังออกมาทางน้ำนมอีก จึงก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยอีกด้วย

 

มีความเชื่อที่ว่าคุณแม่หลังคลอดที่รับประทานแกงเลียงหัวปลีจะช่วยทำให้มีน้ำนมมากขึ้น แต่เรื่องนี้ยังไม่มีการศึกษายืนยันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม แกงเลียงก็มีสารอาหารเกือบครบทุกหมู่ที่ร่างกายต้องการ จึงเหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่ดีครับ

คุณแม่ที่ให้นมลูกควรระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานยา เมื่อเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์เพราะยาหลายชนิดสามารถผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูกได้ เช่น ยานอนหลับ ยาปฏิชีวนะ ยาจีน ยาดองเหล้า ฯลฯ

นอกจากนี้อาหารบางอย่าง อาหารรสจัดหรือมีกลิ่นฉุนรุนแรง เช่น เครื่องเทศต่าง ๆ อาจทำให้น้ำนมมีรสชาติหรือกลิ่นผิดไปจากเดิมได้ จึงทำให้ลูกไม่ยอมดูดนมทั้งที่หิวอยู่


ยาบำรุงหลังคลอด หลังคลอดแพทย์จะให้เฉพาะยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล และให้ยาบำรุงเลือดกลับไปรับประทานที่บ้านเท่านั้น ส่วนยาอื่นๆ นอกเหนือจากที่แพทย์สั่งไม่รับประทานโดยเด็ดขาด หลังการคลอดร่างกายจะเสียเลือดไปมาก ซึ่งเลือดเหล่านี้มีธาตุเหล็กและแร่ธาตุต่างๆ ดังนั้น ยาที่ให้คุณแม่หลังคลอดจึงเป็นวิตามินรวมหรือวิตามินบีกับธาตุเหล็ก เพื่อทดแทนเลือดที่เสียไปและเพื่อช่วยสร้างน้ำนมให้แก่ลูกน้อย หมอจะสั่งยาบำรุงให้ไปกินที่บ้านอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือนครึ่งถึงสองเดือน ถ้าระหว่างคลอดตกเลือดมากก็อาจต้องให้ธาตุเหล็กมากขึ้นหรือนานกว่าในรายปกติ


การพักผ่อนร่างกายหลังคลอด คุณแม่ควรพักผ่อนตามปกติเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่คุณแม่หลายคนที่เลี้ยงเจ้าตัวน้อยเองอาจจะเหนื่อยและรู้สึกว่านอนไม่พออยู่บ้าง เพราะเจ้าตัวน้อยร้องกวนต้องคอยดูแล ทำโน่นทำนี่ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ควรพยายามหาโอกาสพักผ่อนในช่วงที่เจ้าตัวน้อยนอนหลับบ้าง โดยควรนอนหลับให้ได้รวมแล้วอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ในเวลากลางวันควรหลับบ้างขณะเจ้าตัวน้อยหลับให้ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ในขณะที่ให้นมเจ้าตัวน้อยไม่ควรหลับ เพราะเต้านมอาจปิดจมูกจนเจ้าตัวน้อยหายใจไม่ออกได้ (ในอดีตการคลอดเป็นเรื่องสถานการณ์ที่ลำบากเพราะการแพทย์ยังไม่ทันสมัย มีอาการตกเลือดหลังคลอดกันมาก มีการอักเสบในอุ้งเชิงกราน หรือบางคนเป็นฝีตามเส้นเลือดที่ขา ฯลฯ จึงทำให้คนโบราณมองการคลอดและระยะหลังคลอดเป็นเรื่องใหญ่ จึงมีการห้ามอะไรหลายอย่าง เช่น ห้ามอาบน้ำตอนกลางคืน ห้ามถูกแดด ห้ามถูกลม ห้ามรับประทานอาหารบางอย่าง เพราะถือเป็นของแสลง ฯลฯ แต่ในปัจจุบันการคลอดนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นก็มีน้อย หมอจึงเห็นว่าควรให้ร่างกายของคุณแม่กลับเข้าสู่กิจวัตรประจำวันตามปกติที่เคยเป็นมาก่อนตั้งครรภ์ให้เร็วที่สุดภายใน 1 เดือน)


การดูแลหลังคลอด

ดูแลสุขภาพจิตของคุณแม่หลังคลอด นอกจากการปรับตัวทางร่างกายแล้ว คุณแม่ยังต้องปรับจิตใจให้เข้ากับสภาพของการเป็นคุณแม่ที่สมบูรณ์ด้วย ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ “คุณพ่อ” ซึ่งจะต้องช่วยดูแลประคับประคองเอาใจใส่ ให้กำลังใจ แสดงความห่วงใยต่อความไม่สบายใจและความกังวลใจของคุณแม่หลังคลอด รวมถึงคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น กิจวัตรประจำวัน การช่วยเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อย เพื่อให้คุณแม่ได้มีโอกาสพักผ่อนบ้าง เป็นต้น
 

การมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด เพื่อเป็นการรักษาแผลที่ฝีเย็บ และเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโพรงมดลูก หมอจะให้งดมีเพศสัมพันธ์จนกระทั่งมาตรวจสุขภาพในช่วง 4 – 6สัปดาห์หลังคลอด (แต่ก็ไม่จำเป็นทุกกรณีไป ถ้าน้ำคาวปลาหมด แผลที่ช่องคลอดหายดี และไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว การร่วมเพศก็ไม่ทำให้เจ็บปวดเพิ่มขึ้น และสามารถทำได้หลังจากคลอดไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งจะไม่มีอันตรายใดๆ เพราะในช่วงหลังคลอดคุณแม่จะยังคงมีน้ำคาวปลาไหลอยู่ การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้จึงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อในช่องคลอดและในโพรงมดลูกมากกว่าปกติ ถ้าหากร่างกายของคุณแม่ยังไม่พร้อมหรือไม่มีความสนใจในเรื่องเพศสัมพันธ์ เพราะคุณแม่กำลังปรับตัวเข้าหาเจ้าตัวน้อย มีอารมณ์แปรปรวน หรือจิตใจยังพะวงอยู่กับลูกน้อย คุณแม่ก็ควรพูดคุยกับคุณพ่อเพื่อจะได้มีความเข้าใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรให้คุณพ่อสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการตั้งครรภ์

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์)

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)

คู่มือมารดาหลังคลอดและการดูแลทารก.  (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 28 พฤษภาคม 2564, 11:11:43 pm
การดูแลตัวเองหลังคลอด (กรณีคลอดเอง) ตอนที่ 3

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 
การมาของประจำเดือนและการคุมกำเนิดหลังคลอด ในช่วงหลังคลอด ระดับฮอร์โมนจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้คุณแม่มีการตกไข่และเริ่มมีประจำเดือน คุณแม่จะเริ่มมีไข่ตกได้เร็วสุดในช่วง 3 สัปดาห์หลังคลอด และหลังจากนั้นอีกประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะเริ่มมีประจำเดือน สำหรับคุณแม่ให้เจ้าตัวน้อยกินนมอาจมีผลทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ เนื่องจากระดับฮอร์โมนโปรแล็กตินที่กระตุ้นการสร้างน้ำนมจะมีผลกดการทำงานของรังไข่ทำให้ไข่ไม่สามารถตกได้ คุณแม่ที่ให้เจ้าตัวน้อยกินนมทุกวันอย่างสม่ำเสมอจึงมักไม่มีประจำเดือนในช่วง 6 เดือนแรก แต่สำหรับคุณแม่ที่ไม่ได้ให้เจ้าตัวน้อยกินนมแม่ ประจำเดือนอาจจะเริ่มมาตามปกติภายใน 4 – 8 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แม้ประจำเดือนจะมาแล้วคุณแม่ก็ยังให้นมเจ้าตัวน้อยได้ตามปกติ เพราะการมีประจำเดือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงคุณค่าของน้ำนมแม่แต่อย่างใด และแม้ว่าประจำเดือนจะยังไม่มาก็ตาม คุณแม่ก็ควรคุมกำเนิดก่อนจะมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หรือเริ่มคุมกำเนิดหลังจากไปตรวจร่างกายเมื่อครบ 6 สัปดาห์หลังคลอด เพราะถ้าร่างกายมีไข่ตก คุณแม่ก็สามารถตั้งครรภ์ได้อีกในทันที ในช่วงนี้หากคุณแม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ควรได้รับการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธีด้วย และถ้าจะให้ดีภายหลังการคลอด คุณแม่ควรเว้นการมีบุตรออกไปอย่างน้อย 2 ปี เพื่อคุณแม่จะได้มีเวลาในการดูแลเจ้าตัวน้อยอย่างเต็มที่และเพื่อให้ร่างกายและอวัยวะภายในมีช่วงเวลาฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเดิม ซึ่งการคุมกำเนิดก็มีทั้งแบบชั่วคราวและถาวร เช่น การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว การฉีดยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัย การฝังยาคุมกำเนิด การสวมถุงยางอนามัย เป็นต้น (คุณแม่ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด เช่น เป็นโรคครรภ์เป็นพิษ โรคความดันโลหิตสูง โรคตับอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเม็ด ยาฉีด และยาฝังคุมกำเนิด แล้วใช้ห่วงคุมกำเนิดแทน)

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Favorite-Bamboo-Muslin_with-Baby_2.png)

การบริหารร่างกายหลังคลอด คุณแม่ที่คลอดตามปกติทางช่องคลอด หลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้วควรจะเริ่มต้นทำกายบริหารเพื่อให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ผนังท้องที่หย่อนยานหลังคลอด และผนังช่องคลอดที่หมอได้เย็บไว้ให้ดีแล้วจะไม่หย่อนยาน จึงขอให้เริ่มบริหารร่างกายได้ตั้งแต่วันที่สองหลังการคลอดเป็นต้นไป ส่วนคุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าคลอดก็ควรรอให้ครบ 20 วันก่อนแล้วจึงเริ่มบริหารร่างกายได้ ไม่ต้องรอให้นานกว่านี้ เพื่อให้ร่างกายกลับมากระชับเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว

 

การฝึกขมิบช่องคลอด หลังการคลอดปากมดลูกจะกลับคืนสู่สภาพปกติภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนช่องคลอดอาจจะกลับสู่สภาพปกติได้ไม่ดีนักถ้าหากขาดการออกกำลังกล้ามเนื้อบริเวณนี้ คุณแม่จึงควรฝึกขมิบบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มความกระชับของบริเวณช่องคลอดให้กลับมาเหมือนเดิม ซึ่งการฝึกขมิบนี้คุณแม่สามารถทำได้ทันทีในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และควรเพิ่มจำนวนรอบให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อพยุงช่องเชิงกราน ช่วยลดโอกาสการเกิดการหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน และลดโอกาสเกิดปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะราดในอนาคต (การขมิบจะคล้ายกับการกลั้นปัสสาวะ แล้วค่อยๆ คลายออก ในแต่ละวันให้ทำอย่างสม่ำเสมอบ่อยๆ)

การดูแลผิวพรรณหลังคลอด อาการท้องแตกลายนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและป้องกันได้ยาก ส่วนรอยดำคล้ำตามบริเวณข้อพับต่างๆ นั้นจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งรอยดำเหล่านี้จะค่อยๆ จางลงในช่วงหลังคลอด คุณแม่ไม่ต้องพยายามขัดหรือถูออก เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังได้ สำหรับรอยดำบางส่วนที่เห็นได้ชัด เช่น ลำคอ คุณแม่อาจใช้แป้งทาปกปิดได้บ้างครับ

 

การดูแลผมหลังคลอด ในระยะหลังคลอดอาจเกิดอาการผมร่วงมากกว่าปกติ แต่ถือเป็นภาวะปกติและเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ดังนั้นคุณแม่จึงไม่ต้องตกใจหรือเป็นกังวลไป เพราะโดยทั่วไปแล้วอาการผมร่วงนี้จะหายไปเองภายใน 6 – 12 เดือน ซึ่งต่างกันในแต่ละกรณี โดยจะมีผมเส้นใหม่ขึ้นมาแทนที่ คุณแม่จึงอาจถือโอกาสนี้ในการเปลี่ยนทรงผมใหม่ โดยอาจตัดผมสั้นซึ่งเป็นทรงที่ดูแลง่าย ทำให้คุณแม่ไม่ต้องหวีผมบ่อย จึงช่วยลดอาการผมร่วงได้ดีขึ้น แต่ถ้ามีอาการผมร่วงรุนแรงคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์

การทำกิจกรรมของคุณแม่หลังคลอด ในช่วงสัปดาห์แรกคุณแม่ไม่ควรทำงานหนักหรือยกของหนักๆ ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด เพราะจะทำให้มดลูกหย่อน ไม่ควรขึ้นลงบันไดบ่อยๆ หรือขับรถโดยไม่จำเป็น แต่คุณแม่สามารถทำงานเบาๆ เช่น กวาดบ้าน ซักผ้า ล้างจานได้บ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถและเป็นการออกกำลังกายไปด้วยในตัว ส่วนการทำงานตามปกติควรทำภายหลัง 4 – 6 สัปดาห์ และได้รับการตรวจร่างกายหลังคลอดแล้ว

 

คุณแม่ที่เป็นริดสีดวง ควรป้องกันไม่ให้ท้องผูกโดยการดื่มน้ำและรับประทานผักและผลไม้ให้ได้มากๆ (คุณแม่ที่มีอาการท้องผูกก็เช่นกัน) หากมีอาการปวดอาจประคบด้วยถุงน้ำแข็งเพื่อลดความเจ็บปวด แต่ถ้าปวดมากอาจใช้ครีมหรือยาเหน็บตามที่แพทย์สั่ง


การตรวจร่างกายหลังคลอด คุณแม่ควรได้รับการตรวจร่างกายในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อตรวจดูการคืนสภาพของปากมดลูกและอวัยวะในอุ้งเชิงกราน (หรือแผลผ่าตัดหน้าท้อง หากคุณแม่ผ่าท้องคลอด) และตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ด้วยการตรวจภายในและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขตั้งแต่ต้น พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนในด้านต่างๆ เช่น การคุมกำเนิด แม้ว่าคุณแม่หลังคลอดจะยังไม่มีประจำเดือนมาก็ตาม

หากมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด (ใน 1 ชั่วโมง ชุ่มผ้าอนามัย 1 แผ่น และเลือดที่ออกมาเป็นก้อน มักเกิดจากแผลในโพรงมดลูกบริเวณที่รกเกาะเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีหรือมีเศษรกตกค้างอยู่ในโพรงมดลูก), น้ำคาวปลาผิดปกติ (สีไม่จางลง ปริมาณไม่ลดลง มีก้อนเลือดออกมา หรือมีกลิ่นเหม็น) ปวดท้องอย่างรุนแรง โดยไม่สัมพันธ์กับอาหาร (เมื่อมีอาการปวดท้องหากคุณแม่กินยาแล้วหายปวดก็คงไม่มีอะไร แต่ถ้ากินยาแล้วยังไม่หายปวดก็ควรรีบไปพบแพทย์) แผลฝีเย็บผิดปกติ (ปกติแล้วแผลฝีเย็บจะหายเจ็บค่อนข้างเร็ว จากวันแรกเจ็บ 100% วันที่สองเจ็บ 70% วันที่สามเจ็บ 40% วันที่สี่เจ็บ 10% และพอถึงวันถัดไปก็จะหายเจ็บไปเลย แต่ถ้าเจ็บมากขึ้นและมีแผลบวม แผลแดงมากขึ้น ก็แสดงว่าเกิดการอักเสบ) ปวดศีรษะบ่อยและปวดเป็นเวลานาน (อาจเกิดความดันโลหิตสูง เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอหรือเครียดจากการคลอด) มีไข้สูงหรือหนาวสั่น (อุณหภูมิสูงเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส) และมีอาการอักเสบของอวัยวะอื่นร่วมด้วย ปัสสาวะแสบขัด (อาจเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากดูแลความสะอาดไม่ดีพอ) มดลูกเข้าอู่ช้า (หลังคลอดไปแล้ว 2 สัปดาห์ยังสามารถคลำพบมดลูกทางหน้าท้อง) มีก้อนที่เต้านมหรือเต้านมบวมแดง มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดหรือโรคซึมเศร้าหลังคลอด

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์)

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)

คู่มือมารดาหลังคลอดและการดูแลทารก.  (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 02 มิถุนายน 2564, 03:34:37 pm
การดูแลตัวเองหลังคลอด (กรณีผ่าคลอด) ตอนที่ 4


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


คุณแม่ที่ต้องผ่าคลอด จะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากกว่าคุณแม่ที่คลอดตามปกติ เมื่อคุณแม่รู้สึกตัวหรือยาชาหมดฤทธิ์ก็จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดเป็นสิ่งแรก ถึงแม้คุณแม่จะเจ็บอย่างไรก็ควรพยายามเคลื่อนไหวหรือพลิกตัวบ่อยๆ เพราะจะช่วยทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวตัวได้ดีขึ้นรวมทั้งป้องกันการเกิดพังผืดระหว่างอวัยวะในช่องท้องกับเยื่อบุช่องบริเวณผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการปวดท้องเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาดได้

เมื่อคุณแม่แข็งแรงพอที่จะลุกหรือยืนได้แล้ว อาการเจ็บแผลผ่าตัดจะสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการใช้ผ้ายางยืดแผลผ่าตัดไม่ให้ถูกดึงรั้งจากผนังหน้าท้องที่ยังหย่อนยาน เวลาที่คุณแม่จะเปลี่ยนอิริยาบถก็ค่อยๆ ทำโดยการงอเข่าเข้าหาตัวก่อนที่จะลุกหรือยืนเพื่อลดความตึงของหน้าท้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดตึงแผลจะค่อยๆ ทุเลาลงหลัง 48 ชั่วโมง อาการปวดแผลสามารถทุเลาลงได้ เพียงทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลเท่านั้น

คุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าคลอดนั้น ในระยะแรกจะยังอาบน้ำไม่ได้เพราะจะทำให้แผลผ่าตัดเปียก อาจติดเชื้อและเกิดการอักเสบได้ จึงต้องใช้วิธีเช็ดตัวประมาณ 7 วัน หลังจากหมอตัดไหมแล้ววันรุ่งขึ้นก็อาบน้ำได้ ถ้าเย็บไหมละลายก็รอจนครบ 6 – 7 วัน เปิดแผลแล้วก็อาบน้ำได้เลยตามปกติ แต่หลังอาบน้ำให้ใช้เพียงผ้าสะอาดธรรมดาเช็ดแผล ไม่จำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์ และไม่ต้องไปทำแผลใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนสะเก็ดที่ติดอยู่ที่แผลก็ไม่ควรแกะออก ควรปล่อยให้ลอกไปเองจะดีกว่า (ในปัจจุบันโรงพยาบาลบางแห่งจะใช้ผ้าและปลาสเตอร์ปิดแผลชนิดกันน้ำได้ 2 วัน หลังผ่าตัดคุณแม่ก็อาบน้ำได้ตามปกติ พอครบ 6 – 7 วันหลังผ่าตัดก็เปิดผ้าเปิดแผลออก ถ้าแผลแห้งสนิทดีก็ไม่ต้องปิดแล้วครับ)

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

ในกรณีที่คุณแม่มีความจำเป็นต้องขึ้นลงบันได เช่น ห้องนอนที่อยู่ชั้นบน คุณแม่สามารถค่อย ๆ เดินขึ้นลงบันไดได้โดยใช้ความระมัดระวังในระยะแรก โดยให้คุณพ่อช่วยประคองไว้ ภายใน 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด ก็สามารถขึ้นลงบันไดได้ค่อนข้างปกติแล้ว คุณแม่จึงไม่ต้องกลัวว่าแผลผ่าตัดจะอักเสบหรือเกิดแผลแยก เพราะคุณหมอเย็บแผลไว้หลายชั้น และบางชั้นก็ใช้ไหมที่ละลายช้า อาจอยู่นานเป็นเดือน ซึ่งพอถึงเวลานั้นแผลก็หายเป็นปกติแล้วครับ (ความจริงแล้วการขึ้นลงบันไดจะใช้กำลังของขาทั้งสองข้างเป็นส่วนใหญ่ โดยมีมือช่วยเกาะราวบันไดเพื่อทรงตัวและผ่อนแรงบ้าง กล้ามเนื้อของผนังหน้าท้องจึงถูกใช้งานน้อยมาก แต่ถ้าเจ็บแผลและสามารถย้ายมานอนชั้นล่างชั่วคราวก่อนจนกว่าจะแข็งแรงก็จะช่วยได้มากครับ)


ในช่วงพักฟื้นหลังคลอด คุณแม่ควรได้รับโภชนาการที่เพียงพอเพื่อให้แผลหายเร็วและเตรียมสารอาหารสำหรับสร้างน้ำนมให้ลูกต่อไป ซึ่งอาหารแสลงหลังคลอดนั้นคงมีแต่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และอาหารรสจัดเกินไปเท่านั้น (มีความเชื่อผิดๆ ที่ว่าอาหารบางชนิดเป็นอาหารแสลงต่อแผลผ่าตัด เช่น ไข่แดงทำให้แผลไม่เรียบ หรือข้าวเหนียวทำให้แผลเป็นหนอง ซึ่งความจริงแล้วอาหารเหล่านี้ล้วนแต่มีคุณค่าทางโภชนาการ คุณแม่ควรได้รับโภชนาการให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อที่ร่างกายจะได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม)


ควรอยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพราะอากาศที่ร้อนจะทำให้เหงื่อออกมากและเกิดการอับชื้นบริเวณแผล

คุณแม่ไม่ควรยกของหนักหรือทำกิจกรรมที่เป็นการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพราะอาจจะทำให้เจ็บแผลได้ รวมถึงการหลีกเลี่ยงท่าบริหารที่อาจเป็นอันตรายกับแผลและไม่ฝึกท่ายืดกล้ามเนื้อจนกว่าแผลจะหายสนิท ถ้าคุณแม่มีแผลฉีกขาดควรรีบไปพบแพทย์

สำหรับคุณแม่ที่คลอดลูกคนที่ 2 หลังการผ่าคลอดใหม่ๆ ควรให้คุณพ่อทำหน้าที่อุ้มลูกไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีที่แผลมากเกินไป

เวลานอนคุณแม่ควรปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้แผลตรงหน้าท้องหย่อนไม่ตึง จะได้ไม่เจ็บแผลมากครับ ส่วนเวลาจะลุกจะนั่งจากเตียงก็ให้ใช้วิธีตะแคงตัวครับ แล้วค่อยๆ ใช้มือยันตัวลุกขึ้นในท่าตะแคง

คุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าคลอดก็ควรรอให้ครบ 20 วันก่อนแล้วจึงเริ่มบริหารร่างกายได้ ไม่ต้องรอให้นานกว่านี้ เพื่อให้ร่างกายกลับมากระชับเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว

หากแผลที่เย็บมีอาการอักเสบ บวม แดง และมีอาการปวดมากขึ้น หรือมีหนอง มีกลิ่นเหม็น คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเสมอ

สำหรับการดูแลตัวเองของคุณแม่ผ่าคลอดในเรื่องอื่นๆ นั้นจะเหมือนกับคุณแม่ที่คลอดตามปกติทางช่องคลอดครับ เช่น การทำความสะอาด อาหารการกิน การดูแลเต้านม การคุมกำเนิด การมีเพศสัมพันธ์ การตรวจร่างกายหลังคลอด การทำงาน ฯลฯ




ขอบคุณข้อมูลจากเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์)

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)

คู่มือมารดาหลังคลอดและการดูแลทารก.  (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)




สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 04 มิถุนายน 2564, 11:22:47 pm
การอยู่ไฟ : ขั้นตอนการอยู่ไฟ & ประโยชน์ของการอยู่ไฟหลังคลอด ตอนที่ 1


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Favorite-Bamboo-Muslin_with-Baby_2.png)

การอยู่ไฟ

การอยู่ไฟหลังคลอด เป็นเรื่องคุ้นเคยกันดีและเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของคนสมัยก่อน เพราะคนสมัยนั้นเชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักตัว สรีระ หรือหน้าท้อง ทำให้หลังคลอดคุณแม่มีอาการปวดเมื่อยหรืออักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณสันหลังหรือที่ขา ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นวิธีดังกล่าว โดยอาศัยภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่หลังคลอด เพื่อปรับสมดุลในร่างกายให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว โดยใช้ความร้อนเข้าช่วย แต่สำหรับคุณแม่ยุคใหม่ในปัจจุบันอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักกัน หรือยังไม่เคยเห็นว่าเขาทำกันอย่างไร และคุณแม่บางรายเกิดปัญหาว่าได้รับคำแนะนำหรือถูกบังคับโดยคุณย่าคุณยายให้อยู่ไฟหลังคลอดหลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งการอยู่ไฟจะมีประโยชน์และโทษอย่างไร แล้วสมควรจะทำหรือไม่นั้น ไปดูกันเลยดีกว่าครับ




การอยู่ไฟของคนไทยได้ทำสืบต่อกันมานานแล้ว จนบางคนเรียกระยะหลังคลอดว่า “ระยะอยู่ไฟ” แม้ในวรรณคดีของไทยอันเก่าแก่เองก็ยังกล่าวถึงเรื่องการอยู่ไฟด้วย เพราะเชื่อกันว่าการอยู่ไฟจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งช่วยบรรเทาความปวดเมื่อยลงได้ และถือกันว่าเป็นการบำบัดโรคหลังคลอด ทำให้คุณแม่มีสุขภาพดีในภายหน้า เมื่อแก่ตัวลงก็ยังคงแข็งแรงเหมือนเดิม”




สาเหตุของการอยู่ไฟ

การอยู่ไฟเป็นกระบวนการดูแลหญิงหลังคลอดที่คนสมัยโบราณ “เชื่อว่าจะช่วยทำให้ร่างกายฟื้นจากความเหนื่อยล้าให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว โดยใช้ความร้อนเข้าช่วย ทำให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นบริเวณหลังและขาที่เกิดจากการกดทับในขณะตั้งครรภ์ได้คลายตัว ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามตัว ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี ช่วยปรับสมดุลร่างกายของคุณแม่ให้เข้าที่ อาการหนาวสะท้านที่เกิดจากการเสียเลือดและน้ำหลังคลอดมีอาการดีขึ้น ทำให้มดลูกที่ขยายตัวได้หดรัดตัวหรือเข้าอู่ได้เร็ว พร้อมกับช่วยให้ปากมดลูกปิดได้ดี จึงป้องกันการติดเชื้อในโพรงมดลูกหลังคลอด ทำให้น้ำคาวปลาแห้งเร็ว ลดการไหลย้อนกลับจนนำไปสู่ภาวะเป็นพิษ”




ในสมัยก่อนหมอตำแยจะไม่ได้เย็บแผลช่องคลอดที่ฉีกขาดจากการคลอด จึงต้องให้คุณแม่นอนบนกระดานแผ่นเดียวจะได้หนีบขาทั้งสองข้างไว้ ช่วยให้แผลติดกันได้ แต่เมื่อนอนไปนานๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวก็จะทำให้เกิดความอ่อนล้า เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก เมื่อจะลุกก็อาจจะเป็นลมได้ จึงต้องมีการผิงไฟเพื่อช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น การไหลเวียนของเลือดจึงดีขึ้นตามไปด้วย และเชื่อกันว่าจะทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วยิ่งขึ้นด้วยครับ




แต่ในสมัยปัจจุบันเมื่อคุณแม่คลอดลูกที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย เมื่อหมอทำคลอดให้เสร็จก็จะมีการเย็บซ่อมแผลที่ฉีกขาด หรือตัดช่องคลอดแล้วเย็บให้เรียบร้อย คุณแม่จึงไม่จำเป็นต้องนอนนิ่งๆ นานๆ แต่อย่างใด เพราะการที่ร่างกายไม่เคลื่อนไหวนั้นจะทำให้น้ำคาวปลาไหลไม่สะดวก คุณแม่จึงมีโอกาสติดเชื้ออักเสบในโพรงมดลูกได้สูงมาก นอกจากนี้การนอนอยู่นิ่งๆ นานๆ ในที่อับลมยังเป็นการเพิ่มความเครียดให้คุณแม่อีกด้วย จึงไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด




ส่วนการที่ต้องผิงไฟอยู่ตลอดเวลา ร่างกายก็จะเสียเหงื่อไปมาก หมอตำแยจึงต้องให้คุณแม่กินข้าวกับเกลือหรือปลาเค็มเพื่อทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับเหงื่อ และสั่งให้งดอาหารแสลงหลายๆ อย่างด้วย เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ เป็นต้น ทั้งๆ ที่อาหารเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ในการเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ในส่วนที่บอบช้ำจากการคลอด และยังมีประโยชน์ต่อการสร้างน้ำนมด้วย คุณแม่จึงไม่ควรงดของแสลงเหล่านี้อย่างที่ปฏิบัติกันมาแต่อย่างใด ยกเว้นแต่ว่าคุณแม่แพ้อาหารชนิดนั้นๆ อยู่แล้ว




การอยู่ไฟสมัยโบราณ

การอยู่ไฟมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดตามแต่จะนิยมกัน ซึ่งผู้คลอดจะนอนอยู่บนกระดานแผ่นใหญ่ที่เรียกว่า “กระดานไฟ” ถ้ายกกระดานไฟให้สูงขึ้นแล้วเลื่อนกองไฟเข้าไปใกล้ๆ หรือเอากองไฟมาก่อไว้ใต้กระดานก็จะเรียกว่า “อยู่ไฟญวน” หรือ “ไฟแคร่” (นอนบนไม้กระดาน ส่วนเตาไฟอยู่ใต้แคร่ มีแผ่นสังกะสีรองทับอีกที เหมือนการนอนปิ้งไฟดีๆ นี่เองครับ) แต่ถ้านอนบนกระดานไฟซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับพื้นและมีกองไฟอยู่ข้างๆ จะเรียกว่า “อยู่ไฟไทย” หรือ “ไฟข้าง” (ก่อไฟอยู่ข้างตัวบริเวณท้อง) บ้างก็เรียกกันไปตามชนิดของฟืน ถ้าใช้ไม้ฟืนก่อไฟก็เรียกว่า “อยู่ไฟฟืน” (นิยมใช้ไม้มะขาม เพราะไม่ทำให้ฟืนแตก) แต่ถ้าใช้ถ่านก่อไฟก็จะเรียกว่า “อยู่ไฟถ่าน” และข้างๆ กองไฟมักจะมีภาชนะใส่น้ำร้อนเอาไว้เพื่อใช้ราดหรือพรมไม่ให้ไฟลุกแรงเกินไป





ขอบคุณเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “การอยู่ไฟหลังคลอดและการอาบ-อบสมุนไพรจำเป็นหรือไม่”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)”.  หน้า 378-383.

ผู้จัดการออนไลน์.  “ไขความเชื่อ ‘การอยู่ไฟ’ ตัวช่วยฟื้นสุขภาพแม่หลังคลอด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.manager.co.th.  [26 ม.ค. 2016].



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 05 มิถุนายน 2564, 12:48:54 pm
การอยู่ไฟ : ขั้นตอนการอยู่ไฟ & ประโยชน์ของการอยู่ไฟหลังคลอด ตอนที่ 2


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

อยู่ไฟ

คนส่วนใหญ่ในสมัยก่อนจะนิยมอยู่ไฟข้างมากกว่าอยู่ไฟแคร่ โดยสามีหรือญาติจะเป็นคนจัดเตรียมที่นอนสำหรับการอยู่ไฟและคอยดูแลเรื่องฟืนไฟที่จะต้องไม่ร้อนเกินไปให้ เพราะคุณแม่จะต้องอยู่ในเรือนไฟนานถึง 7-15 วัน และห้ามออกจากเรือนไฟโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้อุณหภูมิร่างกายของคุณแม่ปรับตัวไม่ทัน ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและไม่สบายได้ การอยู่เรือนไฟในสมัยก่อนนั้นคุณแม่หลังคลอดทุกคนจะต้องเข้าเรือนไฟที่สร้างเป็นกระท่อมหลังคามุงจาก แล้วเข้าไปนอนผิงไฟ พร้อมกับลูกน้อยที่จะเอาใส่กระด้ง ร่วมอยู่ไฟกับคุณแม่บนกระดานไม้แผ่นเดียวและจะต้องทำขาให้ชิดกัน เพื่อให้แผลฝีเย็บติดกัน ซึ่งคนโบราณจะเรียกว่า “การเข้าตะเกียบ” การอยู่ไฟอาจมีการนวดประคบด้วยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในคุณแม่แต่ละคน นอกจากนี้ในทุก ๆ วันคุณแม่ยังต้องอาบน้ำร้อนและดื่มเฉพาะน้ำอุ่น (ห้ามรับประทานน้ำเย็นหรือของเย็น ๆ) และงดอาหารแสลงหลายอย่าง ซึ่งอาหารหลักก็คือการกินข้าวกับเกลือหรือกับปลาเค็ม เพราะคนโบราณเชื่อว่าจะไปทดแทนเกลือที่ร่างกายต้องเสียไปทางเหงื่อที่ไหลออกระหว่างการอยู่ไฟได้



ส่วนทางภาคอีสานจะเรียกการอยู่ไฟว่า “อยู่กรรม” เพราะเชื่อกันว่าคุณแม่คนใดที่ไม่อยู่ไฟ ร่างกายจะผอมแห้ง ผิวพรรณซูบซีด ไม่มีน้ำนม กินผิดสำแดงได้ง่าย ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงของผู้หญิงในสมัยก่อน ส่วนจำนวนวันในการอยู่ไฟนั้น ถ้าเป็นการคลอดครั้งแรกจะอยู่นานกว่าคลอดครรภ์หลัง เมื่ออยู่ครบแล้วก็จะมีพิธีออกไฟในตอนเช้ามืด ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข

 

การอยู่ไฟสมัยใหม่

ในบ้านเมืองและยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป มีคนอยู่หนาแน่นมากขึ้น รวมทั้งสภาพห้องที่ต้องปิดมิดชิด การที่จะก่อไฟบนพื้นบ้านหรือพื้นห้องนอนจึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือมีวิวัฒนาการไปตามสภาพสังคม ซึ่งการอยู่ไฟสมัยปัจจุบันนี้จะเปลี่ยนจากการให้ความร้อนทั่วตัวมาเป็นการให้ความร้อนเฉพาะบริเวณหน้าท้องโดยไม่ต้องสุมกองไฟ ที่ใช้กันอยู่ก็มี 2 วิธี คือ


ใช้กระเป๋าน้ำร้อน โดยนำกระเป๋าน้ำร้อนมาวางบริเวณหน้าท้อง ซึ่งวิธีนี้เป็นวิวัฒนาการล่าสุดของการอยู่ไฟ การใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางก็เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้าง แต่ถ้ากระเป๋าร้อนเกินไปหรือเกิดรั่วขึ้นมา หน้าท้องก็อาจจะพองได้เช่นกัน

ใช้ไฟชุด หรือ ชุดคาดไฟ เป็นชุดที่ประกอบไปด้วยกล่องอะลูมิเนียมสำหรับใส่ชุดซึ่งเป็นเชื้อไฟ เมื่อจุดไฟแล้วก็ใส่กล่องไว้ กล่องจะร้อน มีสายคาดรอบๆ เอว 3 – 4 กล่อง ลักษณะคล้ายกับสายคาดปืนในหนังคาวบอย บางทีถ้าร้อนมากเกินไปก็อาจทำให้ผิวหนังหน้าท้องพองได้ คุณแม่บางคนจึงพันผ้ารอบๆ กล่องจนหนาก่อนเพื่อป้องกันผิวหนังไหม้พอง

 

 

 

ขอบคุณเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “การอยู่ไฟหลังคลอดและการอาบ-อบสมุนไพรจำเป็นหรือไม่”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)”.  หน้า 378-383.

ผู้จัดการออนไลน์.  “ไขความเชื่อ ‘การอยู่ไฟ’ ตัวช่วยฟื้นสุขภาพแม่หลังคลอด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.manager.co.th.  [26 ม.ค. 2016].



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 06 มิถุนายน 2564, 10:51:57 am
การอยู่ไฟ : ขั้นตอนการอยู่ไฟ & ประโยชน์ของการอยู่ไฟหลังคลอด ตอนที่ 3
 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

การอยู่ไฟร่วมสมัย

การดูแลคุณแม่หลังคลอดด้วยการอยู่ไฟในปัจจุบันยังคงมีให้เห็นกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด ซึ่งยังคงใช้รูปศัพท์เดิม คือ “การอยู่ไฟ” แต่วิธีการได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะการแพทย์สมัยใหม่ได้เข้ามาแทนที่ แต่ช่วงหลังได้มีการส่งเสริมให้มีการอยู่ไฟด้วยแพทย์แผนไทยประยุกต์กันมากขึ้น การอาบ-อบสมุนไพรจึงถือเป็นกระบวนการหนึ่งของการอยู่ไฟด้วย ซึ่งหลักๆ จะประกอบไปด้วยการนวดประคบ การเข้ากระโจม อาบน้ำสมุนไพร และลงท้ายด้วยการนาบหม้อเกลือ (อาจมีบริการเสริมอื่นๆ ด้วยแตกต่างกันไป)

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse_2.png)

การนวดประคบ โดยใช้ลูกประคบร้อนที่ห่อไปด้วยสมุนไพรต่างๆ มากกว่า 10 ชนิด เช่น ขมิ้น ตะไคร้ การบูร ใบส้มป่อย เถาเอ็นอ่อน ฯลฯ มานวดคลึงตามบริเวณร่างกายและเต้านม หรือนั่งทับลูกประคบ 1 ลูก เพื่อช่วยลดอาการปวดเมื่อยและรักษาแผลหลังคลอด

 

การเข้ากระโจมและอบสมุนไพร ถือเป็นขั้นตอนหลักของการอยู่ไฟเลยก็ว่าได้ เพราะการเข้ากระโจมอบไอน้ำด้วยสมุนไพรนานาชนิดจะช่วยให้รูขุมขนได้ขับของเสียและทำความสะอาดผิวให้เปล่งปลั่งขึ้น ในขั้นตอนนี้จะเป็นการอบตัวด้วยไอน้ำร้อนโดยให้คุณแม่หลังคลอดเข้าไปนั่งบนม้านั่ง แล้วเอาผ้าห่มทำกระโจมคลุมไว้ และส่วนใหญ่จะคลุมศีรษะไว้ด้วย อากาศภายในกระโจมนั้นจะอับมาก อาจโผล่หน้าออกมาได้ แล้วเอาหม้อน้ำที่ต้มเดือดไปใส่ไว้ภายในกระโจม ซึ่งในหม้อนั้นจะมีน้ำสมุนไพรเป็นสารระเหย เช่น มะกรูด ตะไคร้ (ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจคล่องขึ้น), ไพร (ช่วยลดอาการปวดเมื่อย), ขมิ้นชัน (ลดอาการเคล็ดขัดยอก), การบูร พิมเสน (ช่วยให้หายใจสดชื่น), ผักบุ้งแดง (ช่วยบำรุงสายตา), หัวหอมแดง, ใบมะขาม, ใบส้มป่อย, ใบส้มเสี้ยว, เปลือกส้มโอ และสมุนไพรอื่นๆ เพื่อให้สมุนไพรซึมผ่านผิวหนังเข้าไปบำรุงผิวพรรณและขับน้ำคาวปลาได้ดียิ่งขึ้น เมื่ออบตัวเสร็จก็จะเอาน้ำที่เหลือมาอาบหรือทาตัวภายหลังก็ได้ คุณแม่พอคิดสภาพตามแล้วอาจรู้สึกร้อนๆ แต่วิธีนี้ไม่มีอันตรายครับ ถ้าร่างกายโดยเฉพาะใบหน้าไม่ถูกไอน้ำร้อนนานเกินไป ซึ่งไม่น่าจะนานเกิน 15 นาที และคุณแม่ต้องระวังอย่าให้น้ำร้อนลวก วิธีนี้จะทำให้เหงื่อออกมากซึ่งจะเป็นการช่วยลดน้ำหนักไปด้วยในตัวครับ ส่วนคุณแม่ที่มีตู้อบไอน้ำอยู่ที่บ้าน ถ้ามีอยู่แล้วจะอบไอน้ำก็ได้ แต่อย่าให้นานเกินไป ควรใช้ครั้งละไม่เกิน 15 นาที วันละครั้งก็พอ เพราะถ้านานเกินไปอาจทำให้คุณแม่เป็นลมเนื่องจากร่างกายเสียเกลือแร่ไปมาก แต่ถ้าไม่มีตู้อบก็ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อมาเพื่ออบตัวหลังคลอดครับ เพราะยังมีวิธีที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เช่น การบริหารร่างกายหลังคลอด



สมุนไพรอยู่ไฟกระโจมอยู่ไฟ

การนาบหม้อเกลือ หรือ การทับหม้อเกลือ หรือ การนึ่งหม้อเกลือ เป็นขั้นตอนการใช้หม้อเกลือมาประคบหน้าท้องและตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย พร้อมทั้งนวดไปด้วย ความร้อนจากหม้อเกลือจะช่วยให้รูขุมขนเปิด สมุนไพรซึมผ่านลงผิวหนังไปช่วยขับน้ำคาวปลาและของเสียออกมาตามรูขุมขน และช่วยให้มดลูกหดรัดตัวเข้าอู่เร็วขึ้น ซึ่งหม้อเกลือจะเป็นหม้อดินเล็กๆ ใส่เกลือเม็ดแล้วเอาไปตั้งไฟให้ร้อน แล้ววางบนใบพลับพลึง ใช้ผ้าห่อโดยรอบอีกชั้นหนึ่ง ใช้ประคบหรือนาบไปตามตัวโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง เพื่อหวังจะให้หน้าท้องยุบลง ซึ่งก็ไม่ได้ผลดีเท่าไรครับ แต่การบริหารร่างกายจะช่วยได้มากกว่า เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่นาบหม้อเกลือ หนังหน้าท้องจะหย่อนเหมือนเดิม แถมคุณแม่หลังคลอดบางคนก็นาบด้วยหม้อเกลือจนผนังท้องดำไหม้อยู่ตลอดไป และผิวหนังจะเหี่ยวย่นคล้ายผิวคนแก่ก็มี ผมจึงขอแนะนำว่าถ้าขัดผู้ใหญ่ไม่ได้หรืออยากทำจริงๆ ก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง ถ้าร้อนมากก็ต้องหยุดทำทันที ทางที่ดีไม่ควรทำเลยครับ อันตราย ส่วนการประคบด้วยลูกประคบที่ประกอบด้วยสมุนไพรชนิดต่างๆ ก็มีประโยชน์ครับถ้าไม่ร้อนมากจนเกินไป

 

การทับหม้อเกลือ

บริการอื่นๆ เช่น การประคบ-นั่งอิฐ เป็นการใช้อิฐมอญย่างไฟร้อนๆ ห่อด้วยใบพลับพลึงและผ้าหนาหลายชั้นมาประคบตามบริเวณร่างกายหรือวางไว้ใต้เก้าอี้เพื่อให้ความร้อนอังบริเวณปากช่องคลอด เพื่อสมานแผลให้หายเร็วขึ้น, การนวดคล้ายเส้นตามกล้ามเนื้อตามจุดต่างๆ ของร่างกาย เช่นใบหน้า ศีรษะ ต้นขา ต้นแขน เพื่อให้กล้ามเนื้อคล้ายตัว กระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและเลือดลม, การดื่มน้ำสมุนไพร อย่างการดื่มน้ำขิงซึ่งจะช่วยปรับสมดุลร่างกายและกระตุ้นเลือดลมให้เดินเป็นปกติ, การสครับขัดบำรุงผิว ด้วยการพอก ขัด ด้วยเกลือสะตุและสมุนไพรชนิดต่างๆ เพื่อช่วยกระชับและบำรุงผิวที่แตกลาย เป็นต้น

 

อยู่ไฟหลังคลอด

อย่างไรก็ตาม การอยู่ไฟข้างต้นนี้เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่คลอดเองตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถอยู่ไฟได้เลยนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลหรือภายใน 3-7 วันขึ้นไป ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดนั้นจำเป็นต้องรอและให้แผลแห้งสนิทก่อนประมาณ 30 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้แผลอักเสบในขณะทำการอยู่ไฟ สำหรับคุณแม่ที่สนใจจะอยู่ไฟ ก็จะมีศูนย์สุขภาพต่างๆ สปาสุขภาพ คลินิกแพทย์แผนไทย ไปจนถึงบริการอยู่ไฟถึงบ้านแบบเดลิเวอรี่ที่มีบริการดูแลหลังคลอด ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดเป็นระยะตั้งแต่ 3-10 วัน โดยจะเน้นเรื่องของความสวยความงามเป็นหลัก เช่น การลดไขมันหน้าท้อง การทำให้ผิวพรรณผ่องใส ซึ่งจะไม่เหมือนกับในสมัยก่อนครับ อย่างไรก็ดี การเลือกใช้บริการแต่ละอย่างนั้น คุณแม่จะต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยและความชำนาญของผู้ให้บริการด้วย และที่สำคัญการใช้บริการในแต่ละคอร์สค่อนข้างจะมีราคาสูงอยู่พอสมควร ทางที่ดีที่คุณแม่สามารถทำเองได้ง่ายๆ ก็คือ การอาบน้ำอุ่นที่บ้านที่ผสมด้วยสมุนไพรชนิดต่างๆ เช่น ตะไคร้ มะกรูด ผสมกับน้ำอาบก็ได้ครับ

 

สรุป ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของสูติกรรมโบราณที่ในสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับกลไกการเปลี่ยนแปลงของร่างกายระหว่างคลอดและหลังคลอด แต่ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า การใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือนาบหม้อเกลือนั้นไม่ได้ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นเลย แถมยังเป็นอันตรายต่อคุณแม่อีกด้วย ถ้าเลือกได้ก็ไม่ควรทำครับ เพราะอาการอ่อนเพลีย ผนังหน้าท้องหย่อน มดลูกหดรัดตัวน้อยหรือเข้าอู่ช้านั้นไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการนาบหม้อเกลือ การบริหารร่างกายหลังคลอดต่างหากที่สามารถช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของคุณแม่ให้ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง เพราะช่วยให้มดลูกหดรัดตัวได้ดี ผนังหน้าท้องและผนังช่องคลอดไม่หย่อน ถ้าคุณแม่บริหารร่างกายอย่างเต็มที่ก็จะทำให้เอวมีขนาดเล็กลงเกือบเท่าหรือเท่ากับระยะที่ยังไม่ตั้งครรภ์ น้ำคาวปลาก็หมดเร็ว แถมร่างกายก็แข็งแรงและกลับคืนสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินเสียเวลาไปผ่าตัดทำสาวหรือเย็บช่องคลอดใหม่เนื่องจากช่องคลอดหย่อนด้วยครับ

 

 

 

ขอบคุณเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “การอยู่ไฟหลังคลอดและการอาบ-อบสมุนไพรจำเป็นหรือไม่”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)”.  หน้า 378-383.

ผู้จัดการออนไลน์.  “ไขความเชื่อ ‘การอยู่ไฟ’ ตัวช่วยฟื้นสุขภาพแม่หลังคลอด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.manager.co.th.  [26 ม.ค. 2016].

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 08 มิถุนายน 2564, 10:55:07 pm
15 ท่าบริหารร่างกายหลังคลอด & การออกกำลังกายหลังคลอด ตอนที่ 2

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/11_pthumb.jpg)
9.ท่าบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง อก สะโพก และช่วยขับน้ำคาวปลา ให้คุณแม่อยู่ในท่าคุกเข่า วางก้นที่ส้นเท้า ยกก้นขึ้นให้เข่าใกล้กับหน้าอกให้มากที่สุดจนเป็นท่าโก้งโค้ง เข่าทั้งสองข้างให้ห่างกันประมาณ 1 ฟุต หน้าอกจะต้องแนบกับพื้น (พยายามอย่ายกหน้าอก) แล้วพักอยู่ในท่านี้ประมาณ 2 นาที เมื่อเสร็จแล้วให้นอนคว่ำตัวราบกับพื้น ศีรษะไม่หนุนหมอน ให้น้ำหนักตัวตกอยู่ที่หน้าท้อง โดยใช้หมอนรองบริเวณหน้าท้อง 1 ใบเพื่อคลายความเมื่อย และให้นอนพักอยู่ในท่านี้ประมาณ 30 นาที ซึ่งท่านี้จะช่วยให้น้ำคาวปลาไหลออกดี และมดลูกกลับคืนสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น

 

10.ท่าบริหารกล้ามเนื้อทั่วตัว ให้คุณแม่คุกเข่าลงกับพื้น ฝ่ามือยันพื้น (เหมือนท่าคลาน) แล้วค่อยๆ ลดข้อศอกลงวางกับพื้น ก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก แขม่วท้อง เกร็งกล้ามเนื้อสะโพกและขา แล้วค่อยๆ ลดสะโพกลงแตะกับส้นเท้า ถอยหลังเล็กน้อย หน้าผากแตะพื้น ขณะนี้แขนจะถูกเหยียดตรง เสร็จแล้วให้ยกลำตัวกลับไปอยู่ท่าเดิม (ท่าคลาน) ในครั้งแรกไม่ต้องทำมาก เมื่อแข็งแรงแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งให้มากขึ้น จนครบ 10 ครั้งต่อวัน ท่านี้จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและช่วยให้มดลูกกลับคืนสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น

 

11.ท่าบริหารอุ้งเชิงกราน เป็นท่าที่ช่วยกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้หดตัวเร็วขึ้น โดยให้คุณแม่เริ่มต้นด้วยท่าคลานสี่ขา แยกขาห่างจากกันประมาณ 30 เซนติเมตร ใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นไว้ แล้วค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณทวารหนักเพื่อดึงกล้ามเนื้อเชิงกรานเข้ามา โค้งหลังให้สูงขึ้นเหมือนแมวกำลังทำท่าขู่ นิ่งในท่านี้สักครู่แล้วค่อยคลาย ในขณะที่คลายกล้ามเนื้ออย่าแอ่นหลังลง แล้วเริ่มต้นทำซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง

 

12.ท่าบริหารกล้ามเนื้อหลัง ให้คุณแม่ยืนหลังตรงแยกขาออกจากกันประมาณ 30 เซนติเมตร ประสานมือทั้งสองไว้ด้านหลัง ผ่อนคลายสบายๆ แล้วค่อยๆ ก้มตัวลงอย่างช้าๆ จนลำตัวขนานกับพื้น แล้วยกแขนที่ประสานอยู่ด้านหลังให้สูงที่สุด หายใจเข้า หายใจออกลึกๆ 2-3 ครั้ง จึงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และทำซ้ำอีกหลายครั้ง

 

13.ท่าบริหารกล้ามเนื้อแขนและไหล่ ให้คุณแม่ยืนตรง แยกขาห่างจากกันประมาณ 30 เซนติเมตร แขนทั้งสองเหยียดหงายขึ้นอยู่ด้านข้างหรือด้านหน้าลำตัว มือทั้งสองข้างกำดัมบ์เบลล์ให้ถนัดมือ (หากไม่มีดัมบ์เบลล์อาจหาอุปกรณ์อื่นๆ ที่มีน้ำหนักมาใช้แทนกันก็ได้) ออกแรงยกขึ้นจนถึงระดับไหล่ จะยกแขนพร้อมกันทั้งสองข้างหรือยกแขนทีละข้างก็ได้ จากนั้นค่อยๆ วางแขนลงมาอยู่ในท่าเตรียม เพื่อเป็นการผ่อนคลาย ซึ่งท่านี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อแขนและไหล่กระชับยิ่งขึ้น

14.ท่าบริหารกล้ามเนื้อข้างลำตัว ให้คุณแม่ยืนตรง แยกขาห่างจากกันประมาณ 1 เมตร (พยายามยืนให้ตรง เชิงกรานจะได้ตั้งฉากกับพื้นช่วยให้กล้ามเนื้อยืดตัวดีขึ้น) มือซ้ายแตะแนบอยู่ที่สะโพก ค่อยๆ ยกมือขวาให้สูงขึ้นเหนือศีรษะ และเอนตัวตามไปทางซ้ายอย่างช้าๆ จนรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อด้านข้างพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ แล้วนิ่งกลั้นหายใจไว้สักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืดตัวตรงพร้อมกับหายใจออกและทำซ้ำกับด้านขวาอีกครั้ง

 

15.ท่าบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด ในขณะที่นอนหรือนั่งให้คุณแม่ขมิบช่องคลอดหรือทวารหนักเหมือนกำลังถ่ายปัสสาวะแล้วหดทันที ให้ทำครั้งละ 5-10 นาที หรือขมิบให้ได้วันละ 200 ครั้ง ท่านี้เป็นท่าที่ไม่ต้องหาที่ทางหรือเปลี่ยนอิริยาบถมาทำครับ คุณแม่จึงสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะในขณะทำงาน ให้นมลูก หรือกำลังดูแลลูกน้อยอยู่ก็ทำได้ แถมท่านี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในภายหลังได้อีกด้วย

 

หมายเหตุ : นอกจากที่กล่าวมานี้ยังมีท่าบริหารร่างกายหลังคลอดอื่นๆ อีกมากมาย เพราะนี่เป็นเพียงท่าง่ายๆ เท่านั้น (แต่ได้ผล) ในระยะ 6 สัปดาห์หลังคลอด ในขณะที่มดลูกยังโตกว่าปกติ ผมยังไม่แนะนำให้ทำการบริหารร่างกายในท่านั่งนานๆ ท่ากระโดด หรือในท่ายืนมากๆ (แต่ไม่ใช่ว่าจะห้ามยืนนะครับ) เพราะจะทำให้มดลูกเคลื่อนต่ำและกะบังลมเคลื่อนได้ง่าย แต่พอหลังจาก 6 สัปดาห์ไปแล้ว โดยทั่วไปมดลูกจะเข้าสู่สภาพเดิมคือมีขนาดเล็กลงและไม่หนัก คุณแม่จึงสามารถบริหารได้ทุกท่า รวมทั้งยังเล่นกีฬาอื่น ๆ ได้ตามปกติ ซึ่งการบริหารร่างกายนี้ควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือนหลังคลอด แล้วคุณแม่จะพบว่านี่เป็นวิธีรักษาทรวดทรงให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างดีที่สุดแล้ว

 

ถ้าคุณแม่บริหารร่างกายหลังคลอดได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว รูปร่างของคุณแม่ก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์ และยิ่งถ้าได้ทำอย่างเต็มที่ เสื้อผ้าชุดเก่าๆ ก็จะใส่ได้เหมือนเดิม เมื่อกลับไปทำงานหรือพบเพื่อนฝูง เพื่อนๆ ก็จะแปลกใจและทักว่าคุณแม่ยังสวยเหมือนเดิม แต่ถ้าคุณแม่ปล่อยตัวไม่บริหารร่างกายเลย ก็อาจจะมีคนสงสัยได้ว่ายังไม่คลอดอีกหรือ เพราะหน้าท้องยังไม่เข้าที่และยื่นอยู่มาก ซ้ำร้ายบางทีอาจถูกนินทาไปเลยว่าคลอดลูกคนเดียวกลายเป็นพะโล้ไปซะแล้ว

 

 

 

ขอบคุณเวป medthai

เอกสารอ้างอิง

หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “การบริหารหลังคลอด”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)”.  หน้า 402-409.

หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  “บริหารร่างกายหลังคลอด”.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์)”.  หน้า 276-277.

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 14 มิถุนายน 2564, 09:09:10 pm
ของเล่นเสริมพัฒนาการมีความสำคัญอย่างไร

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

ของเล่นเสริมพัฒนาการ คืออะไร

ของเล่นเสริมพัฒนาการ หมายถึงสิ่งของที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมทักษะการเรียนรู้ให้แก่เด็ก  สร้างความสามารถในการเรียนรู้ด้านต่างๆและพัฒนาสมองให้เด็กจดจำได้มากขึ้น เช่น

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/6936352530879.jpg)

ของเล่นเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นของเล่นประเภท ตุ๊กตาเขย่าให้มีเสียง รถเด็กเล่นสำหรับลากจูง หรือลูกบอล ช่วยให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องตัวมากขึ้น

ของเล่นเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ ได้แก่ ตุ๊กตามีเสียง ของเล่นประเภทเครื่องดนตรี หรือลูกบอล เป็นของเล่นที่มีลักษณะช่วยให้เด็กระบายความโกรธและลดความก้าวร้าวลงได้ ของเล่นประเภทตุ๊กตาตัวใหญ่ๆช่วยให้เด็กเกิดความอบอุ่นและมีเพื่อนเล่น

ของเล่นด้านเสริมการเรียนรู้ เป็นของเล่นที่เด็กต้องใช้การสังเกต การเลียนแบบ และการจดจำ เช่น ตัวต่อ ห่วงเรียงซ้อน ตัวอักษร หรือลูกบอลหลากสี

ของเล่นเสริมพัฒนาการด้านสังคม ของเล่นชนิดนี้เป็นของเล่นที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ลักษณะของเล่น เช่น ลูกบอล ของเล่นที่เป็นบทบาทสมมุติ เช่น อุปกรณ์เครื่องครัว ตุ๊กตาต่างๆ

วิธีเลือกซื้อของเล่นเสริมพัฒนาการ

การเลือกซื้อของเล่นเสริมพัฒนาการให้กับเด็ก คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อโดยมีหลัก 3 ประการ ดังนี้

 

เลือกของเล่นให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจพฤติกรรมการเล่น รู้ความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงวัย เพื่อเลือกของเล่นให้มีความยากง่ายเหมาะกับพัฒนาการการเล่นของเด็ก

เลือกของเล่นตามวัตถุประสงค์ เช่นต้องการกระตุ้นความสนใจและทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์ หรือเลือกของเล่นที่สามารถเล่นได้หลาย ๆ คนเพื่อทำให้เด็กเรียนรู้สังคม จากการเล่นกับผู้อื่น

เลือกซื้อโดยคำนึงถึงวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาสร้างของเล่น วัสดุต้องคงทนแน่นหนา ไม่หลุดหรือแตกหักง่าย  ไม่แหลมคม ปลอดภัยสำหรับเด็ก  ทำความสะอาดได้ง่าย มีสีสันสดใสเพื่อกระตุ้นความสนใจของเด็ก

การเลือกของเล่นเสริมพัฒนาการที่ดี จึงนอกจากช่วยเสริมพัฒนาการให้กับเด็กในทุกๆด้านของเล่นเด็ก ยังสร้างความสนุกเพลิดเพลินทำให้ไม่ร้องไห้งอแงกวนใจพ่อแม่แล้ว ยังทำให้เด็กที่ติดของใช้ซึ่งเป็นปัญหากับสุขภาพของเด็ก ปรับเปลี่ยนมาติดของเล่นที่เป็นประโยชน์แทน

 

การเสริมสร้างพัฒนาการให้กับเด็กในแต่ละช่วงวัยจะมีความแตกต่างกัน หากคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจะพบว่าพฤติกรรมของเด็กๆส่วนใหญ่จะเริ่มติดของเล่นหรือของใช้ในช่วงอายุ 10 เดือนจนถึง 1 ขวบ และช่วงนี้เป็นวัยที่กำลังเริ่มเรียนรู้ การเลือกของเล่นเสริมพัฒนาการให้เหมาะกับเด็กในแต่ละช่วงวัย จึงเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ทำให้เด็กสนุกเพลิดเพลินและเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 15 มิถุนายน 2564, 10:27:13 pm
ของเล่นเสริมพัฒนาการ จำเป็นต่อพัฒนาการลูกจริงหรือ


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/O1CN01ElaeJ81L8NDxCfZQt_3258471254-1.jpg)

การจะเลือกของเล่นให้ลูกสักชิ้นนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ใช่ สมัยนี้มีของเล่นมากมายที่ถูกโฆษณาว่าเป็น "ของเล่นเสริมพัฒนาการ" แต่ก็อย่างที่เรารู้ๆกันดี เศรษฐกิจยุคนี้ก็ใช่ว่าจะดีนัก การจะซื้ออะไรให้ลูกสุดที่รักเราก็ต้องเลือกแล้วเลือกอีกว่ามันดีจริง คุ้มค่ากับการลงทุน กับของเล่นประเภทเสริมทักษะและพัฒนาการสำหรับเด็กก็เช่นกัน มันสามารถช่วยสร้างเสริมพัฒนาการในตัวลูกเราได้จริงหรือ แล้วหลักในการเลือกของเล่นให้ลูกอย่างเหมาะสมตามวัยมีอะไรบ้าง
เบื้องต้นก่อนเลือกของเล่นให้ลูก

หากคุณพ่อคุณแม่เลือกของเล่นให้ลูกโดยที่ไม่ได้คัดสรรเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยเท่าไหร่นัก ก็อาจจะต้องเสี่ยงกับอันตรายที่จะเข้ามาถึงลูกน้อยได้ง่าย ทีมนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศ ได้ทำการสุ่มเก็บตัวอย่างเป็ดยางลอยน้ำของเล่นเด็กยอดนิยมมาทำการตรวจ โดยผลการทดลองพบว่า ภายในของเล่นนั้นมีจุลินทรีย์เกาะอยู่หนาแน่นมาก ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมากถึง 75 ล้านเซลล์ ต่อตารางเซ็นมิเมตร ซึ่งเชื้อเหล่านี้สามารถเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในที่ชื้นแฉะ และสามารถแพร่กระจายไปสู่เด็กๆได้ง่าย

นอกจากนี้งานวิจัยยังระบุอีกว่า แบคทีเรียหรือเชื้อราที่ปรากฏนั้นจะให้ผลที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของเล่น รวมทั้งการดูแลรักษาที่แตกต่างกันในแต่ละครอบครัว อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วนักวิจัยพบว่ามีแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย ได้แก่ Legionella และ Pseudomonas Aeruginosa ใน 80 เปอร์เซ็นต์ของของเล่นที่ทำการศึกษา

อันตรายอยู่ใกล้ตัวเด็กๆมากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญในการเลือกของเล่นให้ลูก ต้องเลือกของที่ดีและมีคุณภาพ เพราะของเล่นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยได้มาก
ของเล่นเด็ก มีประโยชน์ยังไง?
ลูกน้อยตั้งแต่ช่วงอายุ 1-3 เดือนแรก อาจจะยังไม่สามารถเล่นอะไรได้มาก เพราะแต่ละวันของเด็กจะหมดไปกับการนอน และตื่นขึ้นมากินนมแม่ แต่เมื่อลูกอายุได้ 4 เดือน เขาจะเริ่มมีพัฒนาการร่างกาย เริ่มจะใช้มือไขว่คว้า เริ่มหัวเราะเวลาที่พ่อกับแม่เล่นด้วย ซึ่งช่วงเวลานี้คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มหาของเล่นที่เหมาะสมกับวัยมาให้ลูกเล่นได้ และเมื่อลูกน้อยโตขึ้นเรื่อยๆตามวัย ก็ค่อยขยับการ เลือกของเล่นให้ลูกที่เหมาะสมกับวัยของเขาต่อไป ซึ่งการเลือกของเล่นให้ลูก ถ้าพ่อแม่เลือกได้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นผลดีต่อพัฒนาการของลูกในทุกๆด้าน

เลือกของเล่นให้ลูก วัยแรกเกิด - 6 เดือน
ของเล่นที่กระตุ้นการมอง ได้แก่ ของเล่นที่มีสีสันสดใสเพื่อดึงดูดสายตา เช่น โมบายลวดลาย
ของเล่นที่กระตุ้นการฟังเสียง ได้แก่ ของเล่นที่มีเสียง เช่น กล่องดนตรี ตุ๊กตาที่บีบให้มีเสียง
ของเล่นที่เสริมกล้ามเนื้อ ได้แก่ ของเล่นที่บีบหรือเขย่าแล้วเกิดเสียง ของเล่นที่ใช้มือสอดกำได้ ลูกบอลนุ่ม ตุ๊กตาผ้ารูปสัตว์ เพื่อส่งเสิมการใช้มือ ใช้นิ้วมือสำหรับหยิบจับสิ่งของ
ของเล่นที่เสริมสติปัญญา ได้แก่ หนังสือภาพ โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ที่อ่านให้ลูกฟัง
เลือกของเล่นให้ลูก วัย 6-12 เดือน
ของเล่นที่กระตุ้นประสาทสัมผัส ได้แก่ ของเล่นที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น เรียบ หยาบ นุ่ม แข็ง เพื่อกระตุ้นการสัมผัส
ของเล่นเสริมทักษะการสัมผัส ของเล่นที่ดูดหรือกัดได้ เช่น ยางกัดรูปทรงต่างๆ เพื่อกระตุ้นการรับรู้และช่วยลดอาการคันเหงือกของเด็กเมื่อฟันใกล้งอก
ของเล่นเสริมกล้ามเนื้อ ได้แก่ ของเล่นประเภทลากจูง เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขา ของเล่นประเภท เล่นลูกบอลนุ่ม บล็อกไม้ใหญ่ๆ กล่องหยอดรูปทรงต่างๆ เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมือและนิ้วมือในการหยิบจับสิ่งของ ของเล่นที่เขย่าให้เกิดเสียง เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็ก
ของเล่นเสริมสติปัญญา ได้แก่ หนังสือที่มีรูปภาพขนาดใหญ่สีสันสดใสซึ่งพ่อแม่ต้องอ่านให้ฟังหรือให้ลูกเปิดหนังสือด้วยตัวเองแล้วออกเสียงตาม ของเล่นลอยน้ำ เช่น หนังสือลอยน้ำ
เลือกของเล่นให้ลูก วัย 1-2 ขวบ
ของเล่นเด็กเสริมกล้ามเนื้อ ได้แก่ ของเล่นประเภทดันหรือลากจูง เพื่อช่วยพัฒนากล้ามเนื้อแขนขาในการทรงตัว และฝึกการบังคับทิศทางการเดิน
ของเล่นประเภททุบ ตอกหรือตี เช่น กลองที่มีเสียงต่างๆ ซึ่งนอกจากทำให้เด็กเรียนรู้ความแตกต่างของเสียงแล้ว ยังฝึกการใช้กล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ และการประสานสัมพันธ์ระหว่างสายตาและมือด้วย
ของเล่นเสริมความคิดและสติปัญญา ได้แก่ กล่องหยอดรูปทรงเรขาคณิต เพื่อฝึกการสังเกตและเรียนรู้สี รูปทรงเลขาคณิต หนังสือภาพ เป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษา ดินน้ำมันหรือแป้งโด ช่วยฝึกสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ ในการปั้นให้เป็นรูปต่างๆตามจินตนาการ
เลือกของเล่นให้ลูก วัย 2-4 ขวบ
เสริมกล้ามเนื้อและการประสานสัมพันธ์ ได้แก่ ม้าโยก จักรยานสามล้อ ซึ่งนอกจากความสนุกสนานแล้วยังช่วยให้เด็กฝึกใช้กล้ามเนื้อแขน และขาในการทรงตัว รู้จักสร้างความสมดุลของร่างกาย ชุดฝึกร้อยลูกปัดขนาดต่างๆ เพื่อฝึกการใช้กล้ามเนื้อมือและนิ้วมือ รวมทั้งช่วยพัฒนาการทำงาน ของสายตาและมือให้สัมพันธ์กัน
ของเล่นเสริมความคิดและสติปัญญา ได้แก่ ชุดแท่งไม้สีสัน กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ในการวางแท่งไม้ซ้อนกันเป็นรูปแบบต่างๆ และส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งเรื่องสี รูปทรง และขนาด เป็นการฝึกทักษะการแก้ไขปัญหา การลองผิดลองถูก ฝึกทักษะการสังเกต
ของเล่นเสริมบทบาทสมมติ ได้แก่ ชุดของเล่นเลียนแบบของจริง เช่น ชุดรวมมิตรผักผลไม้ สอนลูกให้เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับผักผลไม้ ชุดบ้านตุ๊กตา ชุดเครนก่อสร้าง หรือชุดร้านค้า เป็นการสอนให้เด็ก รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองและคนในสาขาอาชีพอื่นๆ
ลูกจะได้ประโยชน์จากของเล่นที่เหมาะสมอย่างไร?
ช่วยให้ลูกได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก สัมผัสจากมือและเท้า
ช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น สามารถใช้สมาธิจดจ่อ และอยู่นิ่งได้นานขึ้น
ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี จากการที่เด็กได้เล่นของเล่นที่เหมาะสมและถูกใจ
ช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้แก่เด็ก
ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านสังคม เมื่อเขาอยู่ในวัยที่สามารถเล่นกับคนอื่นๆได้ ควรส่งเสริมให้ลูกได้เล่นของเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้าน หรือกับญาติพี่น้องวัยไล่เลี่ยกัน เพื่อเป็นการฝึกให้ลูกรู้จักแบ่งปัน การเสียสละ และการรอคอย
คุณพ่อคุณแม่รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะเลือกซื้อของเล่นให้ลูกครั้งใด อย่าลืมเลือกที่ส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้เป็นหลักนะคะ จะได้เป็นการลงทุนอย่างคุ้มค่า รวมทั้งต้องดูแลให้เขาเล่นและใช้งานอย่างปลอดภัยด้วยเช่นกันค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 16 มิถุนายน 2564, 10:19:22 pm
เรื่องน่ารู้ของเหล่าคุณแม่ กับคุณประโยชน์ที่ต่างกันของ นมจากคุณแม่กับนมผง


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


เป็นเรื่องที่รู้กันมานานในกลุ่มคนที่กำลังสร้างครอบครัวและเหล่าคุณแม่ ถึงเรื่องของการให้นมลูก ตั้งแต่ในวัยแรกเกิดจนเป็นทารก ว่าการให้นมในรูปแบบใดที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกน้อยมากที่สุด รวมทั้งความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการให้ลูกกินนมแม่ จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Favorite-Bamboo-Muslin_with-Baby_2.png)

ระหว่างนมจากคุณแม่กับนมผง
น้ำนมจากอกแม่ กับความเชื่อที่ผิด
คุณแม่มือใหม่และไม่ใหม่หลาย ๆ ท่าน อาจมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการให้นมแม่ว่า สารอาหารในน้ำนมจากเต้าของแม่นั้น จะลดน้อยลงและไม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อเด็กอ่อนที่มีอายุ 1 ปี ขึ้นไป ซึ่งไม่เป็นความจริง

พญ. สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กล่าวว่า น้ำนมแม่นั้นสามารถใช้ดูแลลูก ๆ ได้นถึงอายุ 2 ปีครึ่ง หรือสูงสุดคือ 7 ปี โดยในช่วงแรกเกิด 6 เดือนแรกให้กินนมแม่ล้วน หลังจากทารกอายุมากกว่า 6 เดือน ให้เริ่มทานอาหารเสริมควบคู่กับนมแม่ 1 มื้อ, 9 เดือน กินอาหารเสริม 2 มื้อ และอายุ 1 ปี กินอาหารเสริม 3 มื้อ เมื่อทารกอายุครบ 1 ปี ควรเริ่มให้ทานข้าวเป็นอาหารหลัก และยังสามารถทานนมแม่เสริมได้เรื่อย ๆ


สำหรับคุณแม่ท่านใดที่อาจไม่พร้อมต่อการให้นมลูกหรือไม่มีเวลาปั๊มน้ำนมเตรียมเอาไว้อย่างเพียงพอ สามารถใช้นมผงเสริมได้ แต่ควรเลือกสูตรที่ลูกน้อยจะไม่เกิดอาการแพ้ และมีราคาไม่แพง


เพราะเหตุใด นมแม่จึงดีต่อลูกน้อยมากกว่า
เด็กวัยแรกเกิด ในช่วง 6 เดือนแรก การทานนมแม่เพียงอย่างเดียวเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับเด็กในวัยนี้ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

ไร้สารปนเปื้อน
นมแม่นั้นออกมาจากร่างกายของแม่โดยตรง ต่างจากนมผงที่อาจมีกระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักรและผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะเข้าสู่ร่างกายของลูกน้อย นมแม่จึงมั่นใจในความสะอาดและไร้สารเคมีปนเปื้อนได้มากกว่า

สารอาหารครบถ้วน
นมแม่มีสารอาหารที่ร่างกายของลูกน้อยต้องการอย่างครบถ้วน และย่อยง่าย ลดอาการท้องอืดจากนมในเด็กแรกเกิด จึงสามารถทานได้เรื่อย ๆ ตามที่เด็กต้องการ

ภูมิคุ้มกัน
นมแม่มีส่วนประกอบของเม็ดเลือดขาว และแอนติบอดี้ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันชั้นดีให้กับลูก นอกจากนี้ นมแม่ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร ดีต่อระบบขับถ่าย และฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต

ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
ร่างกายของเด็กวัยแรกเกิดในช่วง 6 เดือนแรก เป็นช่วงที่ยังไม่ควรรับอาหารประเภทอื่นนอกจากนมแม่ เพราะอาหารอื่นอาจทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดภูมิแพ้ได้ เนื่องจากโครงสร้างร่างกายของเด็กยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จึงอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของเด็กได้

ความเสี่ยงจากการเลี้ยงลูกด้วยนมผง
สำหรับคุณแม่ท่านใดที่ไม่สามารถให้นมลูกด้วยตนเองได้ หรือมีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้นมผงในการเลี้ยงลูก ต้องระมัดระวังความเสี่ยงเหล่านี้

โรคท้องเสียในเด็ก
ในนมผงมีสารบางจำพวกที่มีผลทำให้ภาวะกรด ด่าง ในลำไส้ใหญ่ของเด็กไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อดีที่เป็นตัวช่วยในการป้องกันอันตรายจากการก่อตัวของเชื้อโรคในลำไส้ใหญ่ จึงเสี่ยงทำให้เกิดโรคท้องเสียในเด็ก

ภาวะภูมิแพ้
เพราะการให้เด็กทารกกินนมผง อาจเป็นการนำโปรตีนแปลกปลอมเข้ามาสู่ร่างกายลูก ซึ่งยังมีระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกันที่ยังไม่แข็งแรง




ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 17 มิถุนายน 2564, 09:42:10 pm
10 อาการประหลาด ที่อาจพบได้ในทารกแรกเกิด ตอนที่1


พ่อแม่มือใหม่อาจรู้สึกกังวลเมื่อพบว่าทารกแรกเกิดมี “อาการประหลาด” ต่าง ๆ ในบทความนี้ เราจะบอกคุณเกี่ยวกับอาการเหล่านั้น ที่พวกเขาอาจจะไม่เคยบอกให้คุณรู้มาก่อนที่โรงพยาบาล


แน่นอนว่าหนังสือและชั้นเรียนที่คุณเคยเข้าได้เตรียมความพร้อมให้คุณไว้สำหรับสิ่งสำคัญ ๆ แล้ว แต่อาการแปลก ๆ บางอย่างที่ทารกน้อยมีก็อาจทำให้คุณตกใจหรือเป็นกังวลได้ ก่อนที่คุณจะวิ่งไปที่โทรศัพท์เพื่อโทรหากุมารแพทย์ เราได้สรุปเกี่ยวกับอาการที่แปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องปกติโดยสิ้นเชิงที่คุณจะคพบได้ในทารกแรกเกิดตัวน้อยของคุณในไม่ช้าก็เร็ว


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

1. ไขบนหนังศีรษะ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไขบนหนังศีรษะอาจจะดูแปลก ๆ เล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา พวกมันมาได้ยังไง ? จริง ๆ แล้วไม่มีใครรู้แน่ชัด ข่าวดีก็คือความแห้งกร้านหรือรอยแตกพวกนั้นจะหายไปเองภายใน 2-3 เดือนแรกของทารก (แต่สำหรับบางคนที่มีการลามไปทั่วอาจใช้เวลานานกว่านั้น) ในระหว่างนี้ ให้ลองถูเบบี้ออยล์บนบริเวณที่แห้ง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ให้ทำเป็นกิจวัตรก่อนอาบน้ำทารกและขูดเกล็ดเหล่านั้นออกด้วยหวีซี่ละเอียด


อาการประหลาด - cradle cap
ไขเหล่านี้สามารถกำจัดออกเองได้ไม่ยาก
เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: โชคดีที่คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไปกับเรื่องนี้ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าผื่นทั่วไป แต่ถ้ามันลุกลามเกินบริเวณหนังศีรษะของทารก หรือดูเหมือนว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ให้ปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับการใช้ยาทาตามใบสั่งแพทย์


2. อึระเบิด
โอเค เราอาจจะใช้คำว่า “ระเบิด” ให้ดูเกินจริงไปหน่อย แต่ความจริงก็คือคุณยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในการเป็นพ่อแม่จนกว่าคุณจะต้องรับมือกับการระเบิดผ้าอ้อม 1-2 ครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณไม่ใช่คุณแม่คนแรกที่ทำความสะอาดอึที่เปื้อนผนังห้องนอน อึของทารกแรกเกิดส่วนใหญ่เป็นของเหลวที่มีเนื้อสัมผัสคล้ายเมล็ดมัสตาร์ดผสมอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องใช้พลังมากนักในการขับเคลื่อนพวกมันไปทั่วห้อง

เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: ตราบใดที่มีสี (ตั้งแต่สีน้ำตาล สีเขียว จนถึงสีเหลือง) และมีสิ่งคล้ายเมล็ดอยู่ในนั้น อึของทารกก็ยังดีอยู่ แต่ถ้าคุณเห็นสัญญาณของเลือด ก็รีบโทรปรึกษาแพทย์ได้เลย


3. มีหน้าอก
จำฮอร์โมนที่บ้าคลั่งที่รบกวนการตั้งครรภ์ทั้งหมดของคุณได้หรือเปล่า พวกมันก็ให้ผลมายังลูกด้วย และน่าเสียดายที่ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของการที่อยู่ในท้องมาถึง 9 เดือน อาจจะเป็นหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น การที่ทารกได้รับฮอร์โมนของคุณมักจะทำให้เนื้อเยื่อเต้านมพัฒนาขึ้น เนื่องจากต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่ฮอร์โมนจะเสื่อมสภาพ แต่อย่าเครียด โดยทั่วไปแล้วพวกมันไม่มีอะไรต้องกังวล และมันควรจะหายไปทันเวลา

อาการประหลาด - ฮอร์โมน
ฮอร์โมนส่วนเกินบางครั้งก็ส่งต่อมาถึงทารกได้เช่นกัน
เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: สังเกตเห็นรอยแดงรอบ ๆ เต้านมของทารกหรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้น ให้เช็คอุณหภูมิของทารกเพื่อดูว่ามีไข้หรือไม่ อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรงกว่า และมีเหตุผลที่จะต้องพาไปตรวจ


4. เสียงครวญครางแปลก ๆ
หากคุณคาดหวังว่าจะมีเสียงแค่เพียงเล็กน้อยและร้องไห้ออกมาเป็นครั้งคราว ขอให้คุณคิดใหม่ มันมีทั้งเสียงฮึดฮัด คร่ำครวญ เสียงกร้าว และเสียงตลกอื่น ๆ อีกมากมายที่คุณจะได้ยินจากพวกเขา เสียงแปลก ๆ เหล่านี้เกิดจากทางเดินจมูกของทารกค่อนข้างแคบในระยะแรกเกิด ทำให้น้ำมูกที่ติดอยู่ในนั้นไปสร้างเอฟเฟกต์เสียงเพิ่มเติม ดังนั้น หากคุณเคยได้ยินเสียงซิมโฟนีเมื่อเร็ว ๆ นี้คุ ณอาจต้องใช้เวลามากขึ้นในการล้างจมูกของทารกด้วยเครื่องดูดน้ำมูก

เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: สังเกตว่าทารกทำเสียงขณะหายใจแต่ละครั้งหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาอาจมีปัญหาในการหายใจ ให้โทรหากุมารแพทย์ของคุณโดยเร็ว


5. จามอย่างต่อเนื่อง
อย่าลืมว่าทารกยังใหม่สำหรับโลกนี้และทุกสิ่งในโลกนี้ และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อหลายสิ่งที่คุณเคยมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว ดังนั้น หากทารกจามเป็นพายุ แต่ไม่ได้ป่วยจริง ๆ พวกเขาอาจพยายามขับไล่สิ่งแปลกปลอมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้ามาทางจมูกของพวกเขา การมองไปที่แสงก็เป็นการปรับตัวเช่นกัน ดังนั้น หากคุณพาลูกออกไปข้างนอกในวันที่แดดจ้าและพวกเขาเริ่มจาม จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพราะดวงอาทิตย์ ไม่ใช่อาการแพ้ สาเหตุอื่น ๆ ของการจามอาจเกิดจากการกำจัดเมือกส่วนเกินหรือแม้แต่น้ำคร่ำออกจากทางเดินหายใจ

เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: หากการจามของทารกเกิดร่วมกับการหายใจดังเสียงฮืด ๆ ให้กุมารแพทย์ของคุณตรวจดูว่าอาจเป็นอาการแพ้หรืออย่างอื่นที่ต้องได้รับการรักษาหรือไม่ คุณต้องแน่ใจว่าการหายใจของทารกเป็นปกติ การกลืนเป็นปกติ และปอดโล่ง เพื่อที่จะแยกแยะสิ่งที่ร้ายแรงออกไป




ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 18 มิถุนายน 2564, 10:04:50 pm
10 อาการประหลาด ที่อาจพบได้ในทารกแรกเกิด ตอนที่2

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


6. การเคลื่อนไหวกระตุกแบบไม่มีสาเหตุ
การกระตุกแบบไร้สาเหตุและการเหวี่ยงแขนขาแบบกระตุกของทารกอาจทำให้ดูสั่นเล็กน้อยในตอนแรก แต่พึงระลึกไว้เสมอว่าทุกอย่างมีที่มาของมัน ในช่วง 2-3 เดือนแรกนั้น ทารกจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงการเสริมสร้างปฏิกิริยาสะท้อนกลับ บางทีคุณอาจเห็นว่ามันเกิดขึ้นแบบสุ่มหรืออาจเกิดขึ้นหลังจากที่ทารกได้ยินเสียงดัง แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ปฏิกิริยาสะท้อนกลับจะเริ่มสงบลงประมาณ 3-4 เดือน ในระหว่างนี้คุณอาจต้องการนำทักษะการห่อตัวไปใช้ประโยชน์ ทารกมักจะสะดุ้งตื่น และการห่อตัวจะช่วยให้ทารกนอนหลับสนิทมากขึ้น

เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: จริงๆแล้วคุณควรกังวลก็ต่อเมื่อทารกไม่แสดงอาการกระตุกหรือเกร็ง การไม่แสดงอาการเหล่านั้นอาจหมายความว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก ดังนั้น หากทารกไม่แสดงอาการเหล่านี้ให้ปรึกษาแพทย์ของคุณ

[ur=https://www.baby8slot.com/l](https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/3108-02-510x586-1.jpg)[/url]

7. รูปทรงศีรษะแปลก ๆ
ทารกทำงานล่วงเวลาเพื่อลงไปในช่องทางที่จะคลอด และหลังจากการเดินทางครั้งนั้นไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาออกมาเป็นสีม่วงและดูบวมทั้งหมด เนื่องจากศีรษะของทารกน้อยนุ่มและอ่อนตัวได้ในช่วงแรก การลอดตัวผ่านกระดูกเชิงกรานของคุณอาจทำให้เกิดการแฟบได้อย่างแน่นอน หากไม่เกิดขึ้นระหว่างการคลอด ทารกอาจมีจุดแบนในภายหลังจากการนอนหงายมากเกินไป หากคุณสังเกตเห็นสิ่งนี้ให้ลองอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขนของคุณให้มากขึ้น หรือเพิ่มเวลาให้ทารกได้นอนคว่ำเมื่อเขาตื่น และสลับตำแหน่งที่คุณวางของเล่น เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

อาการประหลาด - หัวเบี้ยว
มีหมวกกันน็อคที่ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้
เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: หากคุณลองทำทุกอย่างแล้วแต่ศีรษะของทารกยังดูแบนอยู่ ให้ปรึกษากุมารแพทย์ของคุณ พวกเขาอาจต้องสวมหมวกกันน็อคชั่วคราวเพื่อแก้ไขรูปร่างของศีรษะ หมวกกันน็อคจะมีประสิทธิภาพสูงสุดหากสวมใส่เร็วที่สุดตั้งแต่ 4-6 เดือน ดังนั้น อย่ารอนานเกินไปที่จะพูด หากคุณรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

8. อวัยวะเพศบวม
ไม่มีวิธีที่ละเอียดอ่อนในการพูดถึงเรื่องนี้ หากคุณเพิ่งให้กำเนิดเด็กชาย คุณอาจสังเกตเห็นชิ้นส่วนของเขามีขนาดใหญ่กว่าที่คุณคาดไว้อย่างมาก โดยเฉพาะอัณฑะ ทารกอาจได้รับผลกระทบจากการได้รับฮอร์โมนในท้องก่อนคลอด หรืออาจมีของเหลวสะสมมากขึ้นในถุงรอบ ๆ อัณฑะของเขา แต่ไม่ต้องกังวล เขาจะขับมันออกพร้อมกับฉี่ในอีกไม่กี่วัน เช่นเดียวกันกับทารกเพศหญิงของคุณซึ่งอาจมีอาการบวมเป็นเวลา 2-3 วันหลังคลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดอาการบวมควรจะลดลงด้วยเวลาเล็กน้อย

เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: หากอาการบวมไม่ลดลงภายใน 2-3 วันหลังคลอด คุณควรได้รับการตรวจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีทารกเพศชาย เด็กผู้ชายสามารถเกิดภาวะที่เรียกว่าถุงน้ำลูกอัณฑะ (Hydrocele) ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจใช้เวลาถึง 1 ปีในการแก้ไขด้วยตัวเอง


9. เลือดบนผ้าอ้อม
การสังเกตแม้แต่รอยเลือดที่เล็กที่สุดในผ้าอ้อมของทารกก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พ่อแม่มือใหม่ตกใจ แต่ความจริงก็คือมันไม่ได้ทำให้เกิดการเตือนภัยเสมอไป มีสาเหตุหลายประการที่อาจเกิดขึ้นซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นชั่วคราว หากคุณเพิ่งมีลูกผู้หญิง เธออาจกำลังประสบกับผลข้างเคียงบางอย่างจากการสัมผัสกับฮอร์โมนของคุณในมดลูก ไม่ต้องกังวล “ประจำเดือนน้อย ๆ” นี้เป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยในเด็กทารกที่ต้องถอนฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงเล็กน้อยในช่วงไม่กี่วันหลังคลอด สาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ การเคลื่อนไหวของลำไส้ที่หยาบเป็นพิเศษอาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนหรือถูกบาดเล็กน้อย แต่เลือดควรจะจางลงอย่างรวดเร็ว

อาการประหลาด - เลือดออก
เพียงไม่กี่วันหลังคลอดรอยเลือดก็จะหายไป
เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องปกติ เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง เพียงโทรหาแพทย์ของคุณทุกครั้งที่คุณพบรอยเลือด


10. ตาเหล่
ในตอนแรกคาดว่าจะมีอาการตาเหล่เล็กน้อยในทารก ทารกยังคงพยายามแยกแยะความสามารถที่เพิ่งค้นพบทั้งหมด รวมถึงความสามารถในการมองเห็น และจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการควบคุมกล้ามเนื้อน้อย ๆ และฝึกฝนเทคนิคการโฟกัสเหล่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ บางครั้งแม้ดวงตาของทารกอาจดูเหมือนกำลังไขว้กัน แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากดั้งจมูกที่กว้าง ผิวหนังส่วนเกินที่พับอยู่สามารถบังส่วนสีขาวบางส่วนของดวงตาของทารกได้ ลองดูให้ดีขึ้น รูม่านตาของทารกเรียงกันและขยับเข้าหากันจริงหรือ ?

อาการประหลาด - ตาเหล่
ถ้ายังไม่หายภายใน 6 เดือน อาจมีอาการตาขี้เกียจ
เมื่อไหร่ที่ควรกังวล: หากทารกยังคงแสดงอาการตาเหล่ภายใน 6 เดือน คุณควรนัดหมายเพื่อดูว่ามีสิ่งอื่นหรือไม่ หากดวงตาของทารกเหล่าอย่างเรื้อรังในสองทิศทางที่แตกต่างกันอาจมีอาการตาเหล่ และหากมีตาเพียงข้างเดียวที่เหล่อาจเป็นตามัวหรือตาขี้เกียจ





ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 19 มิถุนายน 2564, 09:54:17 am
10 ไอเดีย เล่นกับลูก เสริมสร้างพัฒนาการ ยามว่าง
 
วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

1.มาทายคำถามเล่นกันเถอะ คุณแม่ถือโอกาสนี้สอนให้ลูกรู้จักสิ่งรอบตัว เช่น ห้องอะไรเอ่ย ที่คุณแม่เข้าไปทำกับข้าวให้เราทาน ถ้าเราจะเดินออกไปนอกบ้าน ต้องใส่อะไรก่อนเอ่ย คำถามเหล่านี้ จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กรู้จักคิด หาคำตอบด้วยตัวเอง คุณแม่ควรสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน อาจมีการแข่งให้วิ่งหาสิ่งของ หรือไปยังบริเวณนั้นๆ ก็สนุกไม่เลว ที่สำคัญ อย่าลืมชมเชยเมื่อลูกน้อยตอบคำถามถูก เค้าจะรู้สึกอิ่มเอิบใจและสนุกกับการคิดหาคำตอบต่อไป

 (https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/6936352531029-1.jpg)

2.นิทานแสนสนุก เสริมสร้างจินตนาการ คุณแม่รู้มั้ยคะว่า ลูกวัยเล็ก จะมีโลกจินตนาการที่ตัวเค้าวาดภาพไว้เอง นิทานเป็นอีกหนึ่งกุญแจที่ช่วยไขประตูแห่งจินตนาการแต่ละบาน ช่วยเสริมให้โลกของเค้าสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น คุณแม่อาจเริ่มจากนิทานทั่วไป อ่านเรื่องเดิมซ้ำๆทุกคืน แล้วลองแกล้งอ่านผิดดู ลูกน้อยจะรีบค้านขึ้นมาทันที เพราะเค้าจำท้องเรื่องได้ อย่าว่าแต่รู้ว่าเรื่องเป็นยังไงเลย แค่คุณแม่อ่านคำพูดผิดแค่คำเดียว เค้ายังรู้เลยค่ะ และหากเค้าเริ่มเบื่อนิทานเดิมๆที่มี คราวนี้ คุณแม่ลองมาร่วมจินตนาการไปกับลูก โดยเล่านิทานที่คุณแม่แต่งเอง และชวนลูกน้อยให้ต่อเติมนิทานไปด้วยกันซะเลย


3.เล่นเงาในตอนกลางคืน ช่วยเสริมสร้างจิตนาการ สร้างเรื่องราวให้ลูกน้อยได้คิดตาม คุณแม่ลองดึงจินตนากรลูกออกมาจากหนังสือ แล้วใช้เงาเป็นตัวละครในเรื่องแทน การเล่นนี้ยังช่วยให้ลูกไม่กลัวความมืดอีกด้วย


4.เปิดวีดีโอเพลง เสริมทักษะภาษา ในยุคโซเชียลแบบนี้ เพียงแค่คุณแม่มีสมาร์ททีวี แท็บเล็ต หรือมือถือ ก็สามารถสร้างบรรยากาศภายในบ้าน ให้เต็มไปด้วยเสียงเพลงสนุกสนานได้แล้ว จะให้ดี ลองเปิดวีดีโอเพลงสำหรับเด็ก อาจเริ่มด้วย ABC song, head shoulder knee and toe ฯลฯ ให้ลูกดู วีดีโอเหล่านี้จะมีการสอดแทรกความรู้ พร้อมทั้งทักษะภาษา ลงในเสียงเพลง ครั้งแรกเค้าอาจนั่งดูเฉย เพราะอยู่ในช่วงสังเกตและจดจำ พอดูซ้ำๆ เค้าจะจำได้ เริ่มพูด เริ่มทำท่าเลียนแบบ คุณแม่อาจกระตุ้นด้วยการปรบมือเป็นจังหวะตามเพลง พร้อมกับชี้อวัยวะตามในวีดีโอ หรือหากเป็นคุณแม่สายฮา ก็ชวนลูกเต้นไปซะเลยจ้า


5.ทำของเล่นเอง จากสิ่งของเหลือใช้รอบตัว การจะหาของเล่นมาให้ลูกน้อย ไม่จำเป็นต้องซื้อเสมอไป คุณแม่รู้มั้ยคะว่า สิ่งของรอบตัวเราก็สามารถนำมาทำเป็นของเล่นได้ โดยไม่ต้องเสียเงินไปซื้อให้เปลืองเลย อย่างเช่น นำกล่องที่ไม่ใช้แล้ว มาต่อกันเป็นหุ่นยนต์ รถยนต์ หรือถ้าโชคดีได้กล่องไซส์ใหญ่มา ก็นำมาทำเป็นบ้านให้ลูกน้อยได้เข้าไปนั่งเล่น และใช้สีตกแต่งกล่องให้เป็นบ้านในฝัน การทำของเล่นเองนี้ เป็นการสอนให้ลูกรู้จักมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง อีกด้วย


6.จ๊ะเอ๋ – ซ่อนแอบ หรรษา อีกการเล่นหนึ่งที่ลูกไม่มีวันเบื่อก็คือ การเล่นจ๊ะเอ๋ ถ้าลูกน้อยเริ่มโตขึ้นมาหน่อยก็พัฒนาเป็นการเล่นซ่อนแอบนั่นเอง การเล่นนี้ นอกจากจะช่วยให้เค้ารู้จักการคาดเดาว่าคนซ่อน น่าจะอยู่ที่ไหนแล้ว ยังเป็นการสอนให้เค้ารู้จักรอคอย (เวลาคนไปซ่อน หรือรอให้คนหามาพบ) ด้วย


7.การพูดคุย ถาม-ตอบ อ๊ะ อ๊ะ!!! อย่าเพิ่งงงไปว่า การพูดคุยแค่นี้จะเป็นการเล่นไปได้ยังไง คุณแม่ลองถามคำถามให้ลูกคาดเดาเหตุการณ์ต่อไปดู บางครั้ง เราจะได้คำตอบขำๆ หรืออาจได้คำตอบที่นึกไม่ถึงเลยทีเดียว อย่างเช่น ลูกรู้มั้ยว่า นกตัวนี้กำลังจะบินไปไหน? เด็กบางคนอาจจะตอบทั่วๆไปว่า “กำลังจะกลับบ้าน” เด็กบางคนอาจตอบไปตามจินตนาการของเค้าว่า “ไป 7-11” คุณแม่อาจนึกขำในใจ แต่สำหรับเด็กบางคน เค้าอาจมองลึกไปกว่านั้น และคำตอบที่ได้รับนั้นอาจทำให้คุณแม่อึ้งไปเลยทีเดียว


8.สร้างสรรค์จินตนาการไม่รู้จบ ด้วยการปั้นแป้ง เพราะลูกน้อยมีโลกจินตนาการเป็นของตัวเอง แอดมินได้พบกับตัวเอง โดยให้แป้งโดว์สีแดงกับลูกก้อนหนึ่ง หวังให้เล่นถ่วงเวลาระหว่างทำงาน สักพักเค้ากลับมาพร้อมกับผลงาน ที่ดูคล้ายสเตอร์เบอร์รี่ รูแต่ละรูที่เป็นลายตาของสเตอร์เบอร์รี่ ถูกทำโดยใช้ปากกา กดให้เป็นรู แอดมินถึงกับอึ้งในการรู้จักใช้สิ่งรอบตัวมาสร้างสรรค์จินตนาการของเค้าให้เป็นรูปเป็นร่าง ตอนนั้นเค้าแค่ 1 ขวบเท่านั้นเอง คุณแม่ลองดูนะคะ บางทีอาจได้ชมผลงานที่ไม่คาดฝันก็เป็นได้


9.แต่งเติมสีสันด้วยมือน้อยๆของเจ้าตัวน้อย คุณแม่ลองหากระดาษใหญ่ๆมาให้ลูกซักแผ่น แล้วให้ลูกแต่งเติมสีสันด้วยมือของเค้าเอง แต่และสี แต่ละเส้นที่วาดลงไป จะช่วงเสริมสร้างพัฒนาการทางความคิด เพิ่มจินตนาการได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าคุณแม่ต้องประกบคู่ไปด้วย ไม่ได้ให้ตีกรอบวาดสิ่งที่คุณแม่คิดนะคะ แต่เพิ่มเติมเต็มให้สิ่งที่เค้าวาด ดูเป็นรูปเป็นร่าง และสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หากลูกยังเล็ก อาจเริ่มจากสีเทียน หรือสีไม้ก่อน และเมื่อลูกโตขึ้น ค่อยเปลี่ยนเป็นสีน้ำ ที่มีความซับซ้อน มากยิ่งขึ้นไปอีก


10.สร้างพลานามัยที่แข็งแรง ไปพร้อมๆกับการเล่น ด้วยกีฬา เด็กที่เล่นกีฬา ย่อมมีสุขภาพที่ดีอยู่แล้ว คุณแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกน้อยรู้จัก และลองเล่นกีฬาหลายๆอย่าง เพื่อดูว่าเค้าถนัด หรือชอบกีฬาชนิดไหนมากที่สุด แล้วส่งเสริมทางนั้นไปเลย ถ้าเค้ามีความสามารถด้านนั้นอยู่แล้ว ดีไม่ดี ลูกตัวน้อยๆของคุณแม่ อาจกลายเป็นนักกีฬาโอลิมปิกในอนาคตก็เป็นได้

นอกจาก 10 ไอเดียด้านบนนี้ ยังมีการเล่นแบบอื่นๆอีกมากมาย ที่คุณแม่สามารถเลือกมาเล่นกับลูก อาจต่อยอด นำไปหาวิธีการเล่นที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของบ้าน ให้เจ้าตัวน้อยได้เติบโตไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ เพิ่มพูนจินตนาการ ที่สำคัญคือ สร้างความอบอุ่นในครอบครัวไปพร้อมๆกันค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจากเวป  babekits.com


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 20 มิถุนายน 2564, 09:37:38 am
     การเจริญเติบโตและพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญาแต่ละช่วงชีวิต
        1.1 วัยทารก
            วัยทารก คือ วัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 ปี  มีการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านร่างกาย
น้ำหนักแรกคลอดประมาณ 3,000 กรัม เมื่อครบ 1 ปี จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า
ส่วนสูงหรือความยาวประมาณ 54 เซนติเมตร และส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 เท่า เมื่ออายุครบ 1 ปี
ขนาดรอบศีรษะแรกคลอดประมาณ 35 เซนติเมตร เมื่อครบ 1 ปี จะมีขนาดรอบศีรษะประมาณ 45 เซนติเมตร
ฟันซี่แรกจะขึ้นเมื่ออายุ 6-8 เดือน และเมื่อครบ 1 ปี จะมีฟันประมาณ 12 ซี่
ด้านจิตใจและอารมณ์
1-3 เดือน ส่งเสียงร้องเมื่อรู้สึกหิว รู้จักยิ้มเมื่อถูกหยอกล้อ ร้องไห้เมื่อโกรธ ทำเสียงดังเมื่อดีใจ
4-6 เดือน หัวเราะเสียงดัง ร้องไห้เมื่อโกรธหรือถูกขัดใจ อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
7-9 เดือน ร้องไห้เมื่อไม่พอใจและมีอารมณ์กลัวมากขึ้นแสดงความรักด้วยการโอบกอด ตอบสนองต่อการถูกดุและร้องไห้
10-12 เดือน แสดงอารมณ์ดีใจ เสียใจมากขึ้น เมื่อมีคนเล่นด้วยจะหัวเราะเสียงดัง สามารถเข้าใจอารมณ์ผู้อื่นได้
ด้านสังคม
เริ่มพัฒนาการทางสังคมกับบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว และผู้ที่เลี้ยงดู
1-2 เดือน จ้องหน้าและตอบสนองผู้หยอกล้อได้
3-5 เดือน ชอบให้คนอยู่ใกล้ๆ สนใจเสียงคนพูดคุย
12 เดือน จะสามารถเล่นกับผู้อื่นได้
ด้านสติปัญญา
แสดงออกและโต้ตอบด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย
เริ่มเรียนรู้การพูดคุยกับผู้อื่นด้วยการพูดทีละคำ 
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/S__14286925.jpg)

        1.2 วัยก่อนเรียน
                วัยก่อนเรียน  คือ วัยตั้งแต่ 1 ปี จนถึง 6 ปี มีการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆดังนี้
ด้านร่างกาย
ด้านน้ำหนักและส่วนสูง จะเพิ่มขึ้นช้ากว่าวัยทารถ
เมื่ออายุ 1 ปี จะมีฟันน้ำนมประมาณ 12 ซี่
ฟันน้ำนมจะครบ 20 ซี่ เมื่ออายุประมาณ 3 ปี และฟันน้ำนมจะเริ่มหยุดโดยมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่
ด้านจิตใจและอารมณ์
มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย โดยอารมณ์โกรธและดีใจจะเกิดขึ้นบ่อย
เมื่ออายุครบ 2 ปี จะเริ่มรู้จักอิจฉาผู้อื่น
กลัวคนแปลกหน้า
สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้นเมื่ออายุประมาณ 4 ปี
ด้านสังคม
สังคมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เลี้ยงดูและคนในครอบครัว
เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียนจะมีความสัมพันธ์กับเพื่อน แต่อาจมีการทะเลาะกัน เพราะยังขาดประสบการณ์ในการเล่นกับเพื่อน
รู้จักปรับตัวให้เข้ากับผู้ใหญ่

ด้านสติปัญญา
1-3 ปี สนใจสิ่งใหม่ๆ พูดรู้เรื่อง ใช้ภาษาได้คล่อง
4 ปี สามารถพูดเป็นประโยคได้สมบูรณ์ นับเลขได้ รู้จักเวลา ชอบซักถาม
5 ปี มีความอยากรู้ อยากเห็น รู้จักใช้เหตุผลในการอธิบายข้อมูล
6 ปี พูดได้คล่องแคล่วช่างซักถาม ทำงานร่วมกับเพื่อนและผู้ใหญ่ได้

        1.3 วัยเรียน

                    วัยเรียน คือ วัยที่มีอายุตั้งแต่ 6-12 ปี มีการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านร่างกาย
มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอ ร่างกายขยายออกทางส่วนสูงมากกว่าส่วนกว้าง น้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2-3 กิโลกรัม ส่วนสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4-5 เซนติเมตร โดยส่วนใหญ่เพศหญิงจะตัวโตกว่าเพศชายวัยเดียวกัน
มีกล้ามเนื้อแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว
สามารถใช้มือและนิ้วทำงานได้ดี
ด้านจิตใจและอารมณ์
ต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน
มีอารมณ์โกรธเมื่อถูกล้อเลียน
มีอารมณ์กลัวน้อยลง
รู้สึกอิจฉาเพื่อนที่ได้รับความรักหรือความสนใจ
ด้านสังคม
ชอบรวมตัวเล่นกันเป็นกลุ่ม ไม่ชอบอยู่คนเดียว
เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน ภายใต้กฎ ระเบียบ
รู้จักเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มมีความซื่อสัตย์ต่อกลุ่ม
ด้านสติปัญญา
มีความคิดที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
สามารถคิดได้อย่างมีเหตุผล
เปรียบเทียบสิ่ง 2 สิ่งได้
มีความอยากรู้อยากเห็น
อ่านและเขียนหนังสือได้คล่อง
อ่านและเขียนหนังสือได้คล่อง



ขอบคุณข้อมูลจากเวป โรงเรียนดอยสะเก็ดวิทยาคม


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 21 มิถุนายน 2564, 06:39:06 pm
พัฒนาการทารกแต่ละช่วงวัย ตอนที่ 1

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

พัฒนาการทารก
(Development of Infancy) คือ ความเปลี่ยนแปลงหรือการเจริญเติบโตเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของทารก โดยเริ่มตั้งแต่แรกคลอดจนถึงช่วงที่เริ่มเดินได้ ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาทั้งสิ้น 12 เดือน ทารกเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการทุกเดือน โดยพัฒนาการของทารกจะเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของแต่ละคน ทารกบางคนอาจพูดคำแรกได้เมื่ออายุ 8 เดือน ในขณะที่ทารกคนอื่นจะเริ่มพูดเมื่ออายุครบ 1 ขวบ ทั้งนี้ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา และพัฒนาการด้านสังคม

 

พัฒนาการทารก

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

พัฒนาการทารกและวิธีดูแลทารกในแต่ละช่วงวัย

 

ทารกแต่ละคนมีพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญาและภาษา และด้านสังคม แตกต่างกันไปตามช่วงวัย อย่างไรก็ดี พัฒนาการทารกในช่วงอายุ  1 ปีซึ่งนับตั้งแต่แรกคลอด มักเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

ช่วงวัย 1-3 เดือน พัฒนาการทารกเริ่มตั้งแต่แรกคลอด นับจากแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน ถือเป็นช่วงที่ร่างกายและสมองของทารกเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับโลกภายนอก ทารกจะเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

พัฒนาการทางร่างกาย

เมื่ออายุครบ 1-2 เดือน เด็กจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วน ซึ่งเริ่มจากกล้ามเนื้อคอ เด็กจะเริ่มหันศีรษะจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน หรือชันคอขึ้นเมื่อนอนคว่ำท้องแนบพื้น โดยท่านอนคว่ำที่ใช้ท้องพยุงช่วยนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ปกติตามวัย เมื่ออายุครบ 2-3 เดือน เด็กจะชันคอเองได้นานขึ้น โดยตั้งศีรษะหรือคอค้างไว้สักพักหนึ่ง

กำและแบมือ

สัมผัสและจับสิ่งของได้ โดยอาจหยิบฉวยมาถือไว้แน่น

พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา

จ้องหน้า สบตาและสังเกตใบหน้ามารดาขณะที่ให้นม รวมทั้งสังเกตความซับซ้อนของลักษณะสิ่งของ เช่น สี ขนาด รูปร่าง ทั้งนี้ ทารกจะชอบมองมือหรือเท้าตัวเองและเริ่มเล่นนิ้วมือ

เมื่ออายุครบ 2 เดือน เด็กจะเล่นนิ้วตัวเอง และมองตามสิ่งของที่เคลื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง และเมื่ออายุครบ 3 เดือน เด็กจะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวไปมารอบตัว

มีปฏิกิริยาต่อเสียงที่ได้ยิน โดยอาจนิ่งฟังหรือยิ้มตอบ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์

เมื่ออายุครบ 3 เดือน จะสนใจรูปร่างหรือเสียงที่ดึงดูดความสนใจ รวมทั้งหันมองตามเสียงนั้น

หัดพูดอ้อแอ้

พัฒนาการด้านสังคม

เมื่อพ่อแม่คุยหรือเล่นด้วย ทารกอาจยิ้มตอบ หรือพูดอ้อแอ้และเป่าน้ำลายเป็นฟอง

เลียนแบบสีหน้าของพ่อแม่ รวมทั้งโผเข้าหาพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเมื่อต้องการความปลอดภัย ความรัก และการปลอบโยน

วิธีดูแลพัฒนาการทารก สัมพันธภาพที่ดีระหว่างพ่อแม่กับทารกนับเป็นรากฐานของพัฒนาการที่สมบูรณ์ พ่อแม่ควรดูแลทารกในช่วงวัย 1-3 เดือน ได้ ดังนี้

ควรอุ้มหรือกอดทารกอย่างเบามือ ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น ทั้งนี้ ควรให้เด็กจ้องมองใบหน้าของผู้เลี้ยง และจับนิ้วมือหรือสัมผัสใบหน้าของผู้เลี้ยงด้วย

ควรสื่อสารกับทารก โดยถามคำถามเด็กหรือโต้ตอบเมื่อเด็กส่งเสียงอ้อแอ้ รวมทั้งอธิบายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ทารกฟังไปเรื่อย ๆ ด้วยถ้อยคำง่าย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็ก การพูดให้เด็กฟังจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษา และเรียนรู้ความรู้สึกจากการฟังน้ำเสียง

อุ้มเด็กโดยหันหน้าทารกออกด้านนอก รวมทั้งลองให้เด็กนอนคว่ำ และส่งเสียงกระตุ้นให้เด็กเงยศีรษะมองตาม อาจให้เด็กนอนคว่ำแค่ 2-3 นาที เนื่องจากการนอนคว่ำทำให้เด็กอึดอัดไม่สบายตัว นอกจากนี้ พ่อแม่ควรให้เด็กหลับในท่านอนหงาย

ควรดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดเมื่อเด็กร้องไห้ เนื่องจากเด็กอาจต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อม หิว หรืออยากให้กอด ทั้งนี้ การดูแลเอาใจใส่ยังช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทารกและแม่

ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตทารกว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่าง ๆ หรือไม่ และปรึกษาแพทย์ทันทีหากเด็กผิดปกติ โดยความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกช่วงวัย 1-3 เดือน มีดังนี้

ไม่ปรากฏพัฒนาการด้านการควบคุมหรือเคลื่อนไหวศีรษะ

ไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือภาพใด ๆ

ไม่ยิ้มตอบผู้คนหรือเมื่อได้ยินเสียงของพ่อแม่

ไม่มองตามสิ่งของที่เคลื่อนไหวไปมา

ไม่สังเกตมือของตัวเอง

ไม่หยิบฉวยหรือถือสิ่งของใด ๆ

ช่วงวัย 4-6 เดือน ทารกในช่วงวัยนี้จะเริ่มรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กจะเรียนรู้และต้องการจัดการทุกสิ่งด้วยตัวเอง โดยพัฒนาการทารกช่วงวัย 4-6 เดือน เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป pobpad.com

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 23 มิถุนายน 2564, 10:12:58 pm
พัฒนาการทารกแต่ละช่วงวัย ตอนที่ 2

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

พัฒนาการทางร่างกาย

ขยับแขนขาแรงขึ้น

ยกศีรษะขึ้นเองได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า

ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า

เมื่ออายุครบ 4 เดือน เด็กจะเริ่มพลิกคว่ำพลิกหงาย โดยกลิ้งตัวจากหน้ามาหลัง และกลิ้งกลับจากหลังไปหน้าได้ โดยมักกลิ้งจากหน้าไปหลังได้ก่อน

เอื้อมมือจับของและนำมาถือไว้ในท่านอนหงายได้ รวมทั้งเริ่มหยิบของเข้าปากตัวเอง

เรียนรู้การส่งของจากมือข้างหนึ่งไปยังอีกมือข้างหนึ่ง รวมทั้งใช้มือคุ้ยของชิ้นเล็ก ๆ

เมื่ออายุครบ 6 เดือน นั่งได้เองโดยไม่ล้ม โดยจะใช้มือช่วยพยุงตัวเองชั่วครู่ในช่วงแรก และต่อมาจะนั่งได้เองนานถึง 30 วินาที และมากขึ้นเรื่อย ๆ


(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/3-3_pthumb.jpg)
 

พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา

แยกความแตกต่างของใบหน้าคนแปลกหน้าและคนที่รู้จักได้

เริ่มให้ความสนใจกับของเล่น สังเกตนิ้วมือและเท้าของตัวเอง รวมทั้งมองเงาสะท้อนของตัวเอง

หัวเราะออกมาเสียงดัง และยังพูดอ้อแอ้

เลียนแบบการแสดงสีหน้าและเสียงของพ่อแม่ ทั้งนี้ ทารกอาจพูดอ้อแอ้และหยุดเว้นช่วง เพื่อรอให้คนที่ตัวเองสื่อสารด้วยโต้ตอบกลับมา

 

วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกช่วงนี้อยู่ในวัยเรียนรู้และสนุกสนานกับการเล่นไปพร้อมกัน โดยพ่อแม่ต้องช่วยดูแลเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ดังนี้

ควรพูดคุยกับเด็กเรื่อย ๆ รวมทั้งโต้ตอบเมื่อเด็กส่งเสียงอ้อแอ้ โดยใช้คำง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพราะการสื่อสารมีส่วนช่วยในการสร้างพัฒนาการทางภาษา

ให้เด็กนอนคว่ำ และนำของเล่นหรือส่งเสียงเพื่อกระตุ้นให้เด็กหันศีรษะมองตามและฝึกกลิ้งตัว ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงควรจับมือเด็กและพูดกระตุ้นให้เด็กลุกขึ้นยืน โดยนับ 1-3 สามและดึงเด็กให้ลุกขึ้นยืนเบาๆ หากจะฝึกให้นั่ง ควรหาหมอนมาช่วยหนุนตัวเด็กไม่ให้ล้ม

เลือกของเล่นที่มีสีสันสดใสหรือมีเสียง เช่น ของเล่นไขลานที่มีเสียงดนตรี ของเล่นเด็กที่เขย่าแล้วมีเสียง หรือตุ๊กตาตัวนุ่มๆ รวมทั้งเลี่ยงของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็กๆ ทั้งนี้ ควรนำของเล่นออกมาให้เด็กเล่นครั้งละ 1-2 ชิ้น เพื่อฝึกให้เด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ

ลองเลื่อนของเล่นออกห่างจากตัวเด็ก เพื่อกระตุ้นให้เด็กเอื้อมหรือคลานไปหยิบมา

 

อ่านหนังสือให้เด็กฟัง โดยเลือกหนังสือเล่มใหญ่ที่มีภาพสีสันสดใส และบรรยายให้เด็กฟัง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการพูดและคิด

เล่นจ๊ะเอ๋กับเด็ก หรือเล่นซ่อนหา โดยนำของเล่นไปซ่อนและกระตุ้นให้เด็กหาให้เจอ

ควรกอดและกล่อมเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

เปิดเพลงหรือดนตรีให้ฟัง เพื่อให้เด็กผ่อนคลาย

ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด โดยสังเกตว่าเด็กต้องการ ชอบหรือไม่ชอบอะไร

 

พัฒนาการด้านสังคม

รู้สึกสนุกเมื่อได้เล่น และจะร้องไห้เมื่อหยุดเล่น

เลียนแบบการเล่นทำเสียงได้

มักโผเข้าหาแม่หรือพ่อ และจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อไม่เห็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ

จดจำใบหน้าพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดได้ รวมทั้งรู้จักชื่อของตัวเอง

ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่ควรพบแพทย์ทันทีหากทารกเกิดความผิดปกติด้านพัฒนาการ ความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกในช่วงวัยนี้ ได้แก่

กล้ามเนื้อแข็งตึง

ตัวอ่อนปวกเปียกอย่างเห็นได้ชัด

เอื้อมมือไปแตะสิ่งของได้แค่ข้างเดียว

ไม่ปรากฏสัญญาณของการเคลื่อนไหวหรือควบคุมศีรษะ

ไม่ตอบสนองต่อแสงหรือภาพต่าง ๆ

ไม่จับสิ่งของ หรือหยิบสิ่งของใส่ปากตัวเอง

ไม่พยายามกลิ้งตัวหรือนั่ง

ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างเขเข้าหรือเขออก

ไม่หัวเราะหรือร้องออกมา

 

ช่วงวัย 7-9 เดือน ทารกในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่มากขึ้น เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวและกลิ้งตัวได้มากขึ้น ทารกจะคิดหาวิธีเคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการ ดังนี้

 

พัฒนาการทางร่างกาย

เคลื่อนไหวไปมามากขึ้น โดยเริ่มจากหัดคลาน และไถก้นไปกับพื้น ทั้งนี้ เด็กอาจหัดคลานโดยใช้แขนและขาช่วยนอกเหนือไปจากการคลานด้วยมือหรือเข่า อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจไม่คลานเลย แต่จะหัดเคลื่อนไหวจากการไถก้นไปกับพื้นไปจนถึงเริ่มเดินได้

นั่งได้เองโดยไม่ล้ม

หมุนกลิ้งได้ทั้งจากหน้าไปหลัง หรือจากหลังมาหน้า รวมทั้งกลิ้งตัวขณะที่หลับอยู่

ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนได้

มักปีนป่ายเก้าอี้หรือโต๊ะ

เรียนรู้การใช้นิ้วมือ รู้จักหยิบของด้วยนิ้วสองนิ้ว รวมทั้งเริ่มปรบมือเป็น

ปีนป่ายและคลานได้

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป pobpad.com

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 24 มิถุนายน 2564, 10:23:19 pm
พัฒนาการทารกแต่ละช่วงวัย ตอนที่ 3

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา

มีปฏิกิริยาต่อถ้อยคำที่คุ้นเคย โดยเด็กอาจหยุดหรือจ้องหน้าแม่ หากได้ยินคำว่า     “ไม่” รวมทั้งหันมองเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง

แยกอารมณ์ความรู้สึกได้จากการฟังน้ำเสียง

เริ่มเปล่งเสียงพูดคำว่า “พ่อ” หรือ “แม่” ได้

รู้จักเรียนรู้การใช้สิ่งของต่าง ๆ

 

พัฒนาการด้านสังคม

เล่นเกมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น เล่นจ๊ะเอ๋

กังวลเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้า เด็กจะไม่อยากอยู่กับคนอื่นนอกจากแม่ หรือจะหาทางหนีไปที่อื่นหากรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ

มีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ความรู้สึกที่พ่อแม่แสดงออกมา

วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกในช่วงวัยนี้ยังคงเรียนรู้และเล่นกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปพร้อมกัน พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรดูแลทารกเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ดังนี้

ควรพูดคุยกับเด็กเรื่อย ๆ โดยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง และรอให้เด็กส่งเสียงโต้ตอบกลับมา หรือพูดบางอย่างและให้เด็กพูดตาม


(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/phpfj7hMs_pthumb.jpg)
 

หาเวลาเล่นกับเด็ก โดยอาจเล่นอย่างอื่นนอกเหนือจากการเล่นที่เคยเล่นมา เช่น เรียงตัวต่อซ้อนขึ้นเป็นชั้นแล้วให้เด็กพังตัวต่อนั้น รวมทั้งให้เด็กเล่นของเล่นที่เสริมสร้างจินตนาการ เช่น ระบายสีหรือละเลงอาหารบนถาดที่เตรียมไว้

 

อ่านหนังสือให้เด็กฟัง โดยเปลี่ยนน้ำเสียงและแสดงสีหน้าออกมาให้แตกต่างกัน เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของเด็ก รวมทั้งเก็บหนังสือไว้ในที่ที่เด็กหยิบได้ เพื่อให้เด็กหยิบหนังสือมาดูภาพเพื่อผ่อนคลายความเครียด

 

เปิดเพลงหรือดนตรีเบาๆให้เด็กฟัง เพื่อให้เด็กผ่อนคลายและรู้สึกเพลิดเพลิน

หาสิ่งของที่นุ่ม ปลอดภัย เพื่อให้เด็กรู้สึกอุ่นใจที่มีของสิ่งนั้นอยู่ด้วยในกรณีที่ต้องห่างจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยง หรือยามที่เด็กรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรหมั่นสังเกตการแสดงออกของทารกว่าเกิดความผิดปกติใด ๆ ขึ้นหรือไม่ โดยความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกในช่วงวัย 7-9 เดือน มีดังนี้

ไม่กลิ้งตัวหมุน หรือไม่ลุกขึ้นนั่ง

ไม่เอื้อมไปหยิบสิ่งของ หรือไม่หยิบสิ่งของเข้าปาก

ไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือภาพใดๆ

ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ หรือเลียนแบบเสียงใด ๆ

 

ช่วงวัย 10-12 เดือน ช่วงสุดท้ายของพัฒนาการทารกในช่วง 1 ปีแรกนี้ นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของทารก เนื่องจากทารกอายุ 10-12 เดือน กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นเด็กเล็กหัดเดินได้ ทารกจะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

พัฒนาการทางร่างกาย

เกาะราวและลุกขึ้นยืนได้เอง และอาจเดินก้าวแรกได้ด้วย โดยเด็กจะก้าวได้เองเมื่ออายุครบ 12 เดือน

เริ่มเดินเตาะแตะเพื่อสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ไปทั่วบ้าน

ปีนป่ายตามเก้าอี้หรือโต๊ะ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเดินของเด็ก

วางของเล่นเรียงซ้อนกัน

เปิดหนังสือไปหน้าอื่นขณะที่พ่อแม่กำลังอ่านอยู่

มักช่วยพ่อแม่แต่งตัวให้ตัวเอง

เริ่มหยิบอาหารกินเอง

พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา

ส่งเสียงอ้อแอ้และพูดคำง่าย ๆ ได้ เช่น คำว่า “หม่ำ ๆ”  “มามา” “ปาปา” หรือ “ดาดา” ได้

มักพูดคำที่พูดได้บ่อยอยู่ 2-3 คำ ซึ่งมักเป็นคำว่า “หม่ำ ๆ” “มามา” และ “ปาปา”

เลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่ เช่น หวีผมตัวเอง กดรีโมตเล่น หรือทำเป็นคุยโทรศัพท์ เป็นต้น

ชี้ไปที่สิ่งของที่อยากได้เพื่อให้พ่อแม่สนใจ

เข้าใจประโยคบางประโยคที่คนใกล้ชิดสื่อสารออกมา รวมทั้งทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้

เปล่งเสียงอุทานออกมาได้

โบกไม้โบกมือ หรือชี้นิ้วไปยังสิ่งของที่อยู่เกินเอื้อม

 

พัฒนาการด้านสังคม

รู้จักแสดงความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบกินอะไร เช่น ทิ้งช้อนไม่กินข้าวต่อ หรือเลื่อนจานอาหารที่ไม่ชอบออกไป

ชอบเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ เช่น เลียนแบบการคุยโทรศัพท์

รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์ เช่น เด็กจะรู้ได้ว่าหากร้องไห้ แม่จะมาหา

วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกช่วงวัยนี้เริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งต่าง ๆ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรดูแลความปลอดภัยและกระตุ้นพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกควบคู่กันไป โดยทำได้ ดังนี้

 

ควรจัดสรรเวลาสำหรับอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวัน โดยอาจใช้เวลาอ่านหนังสือไม่นาน ทั้งนี้ ควรแสดงสีหน้าหรือแสดงน้ำเสียงประกอบการอ่านให้น่าสนใจ

ควรพูดคุยกับเด็กอยู่เสมอ เช่น เมื่อเด็กเอื้อมมือไปหยิบหนังสือลงมาจากชั้นวางหนังสือ อาจถามหรือพูดคุยกับเด็ก โดยเว้นช่วงให้เด็กส่งเสียงโต้ตอบกลับมา หรือถามคำถามเด็กเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ

 

ทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งซ้ำมากกว่ารอบเดียว เช่น เรียงตัวต่อให้เด็กพังลงมา แล้วเรียงใหม่เพื่อให้เด็กพังลงมาอีกรอบ หรือหากเด็กเปิดหนังสือย้อนกลับไปหน้าที่ผ่านมาแล้ว ก็อ่านหนังสือหน้านั้นให้เด็กฟังอีกครั้ง การทำอะไรซ้ำ ๆ เช่นนี้้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ตัวเด็ก รวมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับเด็กให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

เปิดเพลงหรือดนตรีคลอเบา ๆ เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย

 

สอนให้เด็กรู้จักคำง่าย ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งของรอบตัว

ควรดูแลเด็กไม่ให้เข้าใกล้เหตุการณ์หรือสิ่งที่เป็นอันตราย รวมทั้งห้ามปรามเมื่อเด็กทำตัวไม่เหมาะสม โดยอธิบายอย่างใจเย็นและดึงความสนใจเด็กด้วยของเล่นหรือสิ่งที่เด็กชอบ

 

ความผิดปกติทางพัฒนาการ อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงพบสัญญาณที่แสดงความผิดปกติทางด้านพัฒนาการ ควรปรึกษาแพทย์ทันที ซึ่งความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารก มีดังนี้

ไม่คลานหรือใช้ลำตัวด้านใดด้านหนึ่งไถไปขณะคลาน

ไม่ยืนแม้พ่อแม่จะช่วยก็ตาม

ไม่แสดงท่าทางต่าง ๆ เช่น ไม่โบกมือหรือส่ายศีรษะ

ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ หรือพยายามพูดคำว่า “มามา” หรือ “ปาปา”

ไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว

ไม่ประสานสายตาด้วย

วิธีดูแลความปลอดภัยของทารก

 

พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทารก และดูแลทารกให้ปลอดภัยได้ โดยวิธีดูแลทารกให้ปลอดภัยทำได้ ดังนี้

 

ไม่เขย่าตัวทารก เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสมองหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต

ควรให้เด็กนอนหลับในท่านอนหงาย เพื่อป้องกันภาวะเสียชีวิตเฉียบพลันในเด็กทารก (Sudden Infant Death Syndrome: SIDS)

ไม่ควรให้เด็กได้รับอันตรายจากควันบุหรี่จากคนที่สูบบุหรี่

ควรให้เด็กนั่งเบาะหลังโดยใช้ที่นั่งสำหรับเด็กทารกโดยเฉพาะเมื่อต้องโดยสารรถยนต์

ควรตัดอาหารเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเลี่ยงให้เด็กกินผลไม้ที่มีเมล็ดหรือถั่วต่าง ๆ เพื่อป้องกันไอาหารติดคอ รวมทั้งไม่ให้เด็กเล่นของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็ก ๆ เพื่อป้องกันเด็กเอาเข้าปากและกลืนลงคอ

ไม่ถือของร้อนเข้าใกล้เด็ก

ควรพาเด็กไปรับวัคซีนป้องกันโรคให้ครบอย่างสม่ำเสมอ

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป pobpad.com

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 26 มิถุนายน 2564, 08:49:20 am
5 ปัญหาผิว ที่พบบ่อยในทารก พร้อมวิธีดูแล


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


“ปัญหาผิว” ของทารกอาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับพ่อแม่มือใหม่ได้นะคะ ดังนั้น คุณควรเรียนรู้เกี่ยวกับอาการเกี่ยวกับผิวของลูกน้อยที่พบได้บ่อยที่สุด เพื่อให้คุณสามารถทราบวิธีการดูแลและรักษาผิวของเขาได้ค่ะ


ผดผื่นในทารกแรกเกิดเป็นสาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยที่สุดสำหรับการไปพบแพทย์ และพวกมันจะน่าวิตกเป็นพิเศษเมื่อปรากฏบนใบหน้าที่สวยงามของทารก แต่คุณไม่ต้องกังวล พวกมันมักจะรักษาให้หายได้ สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องเรียนรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้แก้มของลูกน้อยเกิดผดผื่น เพื่อที่คุณจะได้ลดเวลาในการไปพบกุมารแพทย์ลง

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

โรคผิวหนังอักเสบและผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema & Atopic dermatitis)
ปัญหาผิว - eczema
มีอาการแห้ง คัน และแตก
แก้มที่เป็นสีแดงของเด็กน้อยอาจดูน่ารัก แต่ก็เป็นสัญญาณของโรคผิวหนังอักเสบหรือผื่นภูมิแพ้ผิวหนังซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบบ่อยที่สุดในทารก ทารกที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ มีปัญหาในการกักเก็บความชุ่มชื้น ดังนั้น ผิวหนังจึงแห้ง คัน และแตก ซึ่งเหมาะสมมากสำหรับสิ่งระคายเคืองภายนอกที่จะเข้ามาก่อให้เกิดปัญหา ใบหน้าของทารกเป็นหนึ่งในบริเวณแรกที่อาการผิวหนังอักเสบจะปรากฏขึ้น โดยปกติจะเริ่มมีในวัยทารก โดย 65 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยจะมีอาการในปีแรกของชีวิต และ 90 เปอร์เซ็นต์มีอาการก่อนอายุ 5 ขวบ


สิ่งกระตุ้นที่พบบ่อย ได้แก่ ขนสัตว์ ความร้อน หรือสารเคมีในสบู่ น้ำหอม โลชั่น และผงซักฟอก ระวังสัญญาณของโรคภูมิแพ้ตามฤดูกาล โรคหอบหืด หรืออาการของผื่นแดงล้อมรอบที่เกิดจากอาหารบางกลุ่ม


แพทย์มักจะรักษาด้วยการให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มงวด และอาจสั่งครีมสเตียรอยด์สำหรับกรณีที่ร้ายแรง


สิวในทารก (Baby acne)
ปัญหาผิว - สิวทารก
เกิดขึ้นได้กับทารกประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
คุณสามารถโทษฮอร์โมนในตัวแม่ที่ข้ามผ่านทางรกสำหรับสิวและตุ่มหนองบนใบหน้าของทารกแรกเกิดได้อย่างเต็มที่ โปรดทราบไว้ว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยวในการจัดการกับสิวของทารก แต่มันเกิดขึ้นกับทารกประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และความร้อน การร้องไห้ หรือผงซักฟอกที่รุนแรง สามารถทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลงได้ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะสิวจะหายไปในที่สุด สิวในทารกแรกเกิดมักจะหายได้เองภายใน 3 เดือน ในระหว่างนี้ให้ปลอบประโลมผิวของลูกน้อยด้วยน้ำยาทำความสะอาดอ่อน ๆ ที่ไม่ใช่สบู่ และมีค่า pH เป็นกลาง และใช้โลชั่นที่ปราศจากน้ำหอมและไม่อุดตันเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวของทารก สำหรับสิวที่ยังดื้อรั้น แพทย์อาจสั่งยาเพื่อแก้ไขอาการให้หมดไป


สิวข้าวสาร (Milia)
ปัญหาผิว - สิวข้าวสาร
พบในเด็กแรกเกิดมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์
ซีสต์เล็ก ๆ สีขาวคล้ายไข่มุกเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ที่หน้าผาก จมูก แก้ม หรือคางของทารก มักสังเกตเห็นตั้งแต่แรกเกิด และเกิดขึ้นในทารกแรกเกิดมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่ามันจะน่าดึงดูดแค่ไหน แต่อย่าไปบีบหรือแกะมัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิวและการยุ่งกับมันจะนำไปสู่การระคายเคืองโดยไม่จำเป็น แม้ว่าจะไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่สิวข้าวสารส่วนใหญ่จะคงอยู่ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ดังนั้น เพียงแค่รอ แล้วทุกอย่างจะเป็นปกติเอง


ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสที่ระคายเคือง (Irritant contact dermatitis)
ปัญหาผิว - สิ่งกระตุ้น
ตัวการหลักคือน้ำลายไหลและการกินอาหารที่เลอะเทอะ
ตามที่ชื่อของมันบอกไว้ ผื่นนี้จะปรากฏขึ้นเมื่อผิวของทารกอักเสบจากสารระคายเคือง รอยแดงและตุ่มสีชมพูส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณปาก จึงช่วยให้ระบุได้ง่าย ตัวการที่พบบ่อยสำหรับเด็กแรกเกิด ได้แก่ น้ำลายไหล และการกินอาหารที่เลอะเทอะ อย่าสับสนกับอาการผิวหนังอักเสบทั่วไป เพราะผิวของที่อักเสบจากสารระคายเคืองจะไม่รู้สึกคัน


แก้ม คาง และคอของทารกแรกเกิดมีความอ่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นและเริ่มรับประทานอาหารแข็ง ทาเกราะป้องกัน เช่น ปิโตรเลียมเจลลีลงบนผิวของลูกก่อนเวลาอาหารเพื่อลดรอยแดง


โรคแผลพุพอง (Impetigo)
ปัญหาผิว - แผลพุพอง
แพทย์มักสั่งยาทาหรือยากินให้
แผลพุพองคือการติดเชื้อที่ติดต่อได้ง่าย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรีย Staph หรือ Strep เข้าสู่ผิวหนังผ่านแผลเปื่อย บาดแผล หรือรอยขูด หรือแม้กระทั่งการที่ลูกน้อยข่วนใบหน้าตัวเองด้วยเล็บเล็ก ๆ ของพวกเขา แผลพุพองที่เต็มไปด้วยหนองและคราบสีน้ำผึ้งเกรอะกรัง โดยเฉพาะบริเวณจมูกและปาก เป็นสัญญาณบ่งชี้ของการติดเชื้อนี้ แพทย์จะรักษาแผลพุพองด้วยยาปฏิชีวนะเฉพาะที่หรือยาแบบรับประทาน หลังการรักษา 24 ชั่วโมง ลูกของคุณจะไม่ติดเชื้ออีกต่อไป





ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 27 มิถุนายน 2564, 01:05:16 pm
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ เมื่อจะดูแล “ผิวทารก”


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/04/327081.jpg)

เมื่อทารกน้อยออกมาลืมตาดูโลก สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเรียนรู้ก็คือ วิธีดูแล “ผิวของทารก” เพื่อปกป้องพวกเขาจากความรู้สึกไม่สบายผิว ผดผื่น โรคผิวหนัง และปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง


เป็นความจริงที่ว่าเด็ก ๆ ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับคู่มือ ดังนั้นหากคุณมีทารกแรกเกิดอยู่ที่บ้าน และสงสัยว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนในการดูแลความต้องการของพวกเขา ขอให้รู้ไว้ว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน


โชคดีที่มีสกิลพื้นฐานง่าย ๆ ที่ง่ายพอที่จะคุณจะฝึกมันจนเชี่ยวชาญภายในระยะเวลาที่กำหนด นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้ เมื่อต้องอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม รวมทั้งการเลือกซื้อของ (เพราะมีของเยอะ) และอื่น ๆ อีกมากมาย


ต้องดูแลผิวทารก
หมั่นทาโลชั่นเพื่อให้ผิวชุ่มชื่นอยู่เสมอ
การอาบน้ำ 101
ทารกต้องการการอาบน้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำร้อน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาความสะอาด ขั้นตอนแรกในการอาบน้ำทารกที่ดีคือหาอุณหภูมิที่เหมาะสม จากนั้นเติมน้ำไม่เกิน 2-3 นิ้วลงไปในอ่างอาบน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยของคุณเป็นหวัด ขณะอาบน้ำให้เทน้ำลงบนไหล่ของพวกเขาเป็นประจำ


จุ่มผ้าขนหนูลงในน้ำที่เป็นฟองแชมพู แล้วใช้แชมพูเด็กล้างหนังศีรษะของทารกเบา ๆ ไปด้วย ในการทำความสะอาดใบหน้าของทารก ให้ชุบสำลีก้อนแล้วซับลงไปเบา ๆ บนผิว


ในการยกลูกน้อยของคุณออกจากอ่าง ให้วางมือข้างหนึ่งไว้ที่คอของพวกเขาเพื่อพยุงศีรษะ และใช้มืออีกข้างหนึ่งรองรับก้น โดยใช้นิ้วของคุณโอบรอบต้นขาข้างหนึ่ง ห่อด้วยผ้าขนหนูมีฮู้ด เมื่อเช็ดตัวเขาแห้งแล้ว ให้ทาเบบี้โลชั่นทันทีเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง


พื้นฐานการใช้ผ้าอ้อม
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณจะต้องทำเพื่อลูกน้อยของคุณเมื่อพวกเขายังเป็นทารกรวมถึง – ใช่แล้ว – การเปลี่ยนผ้าอ้อมจำนวนมาก สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมของเด็กบ่อย ๆ เช็ดผิวก้นของเขาเบา ๆ แต่ให้สะอาดทุกครั้งด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดสำหรับเด็ก


จากนั้นจุ่มครีมทาผื่นผ้าอ้อมหรือใช้น้ำอุ่นจากขวดฉีดที่ก้นลูกน้อยแล้วค่อย ๆ ซับให้แห้ง รอสักครู่ให้ผิวได้ผึ่งลม เพื่อไม่ให้ความชื้นทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมและเกิดการระคายเคือง นอกจากนี้ อย่าลืมซื้อผ้าอ้อมเด็กที่ปราศจากน้ำหอม และควรเลือกขนาดที่ไม่พอดีตัวเด็กจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสี


คำนึงถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้
ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ผลิตขึ้นสำหรับทารกโดยเฉพาะ เช่น แชมพูปราศจากน้ำหอม เจลอาบน้ำ และโลชั่น ในแต่ละครั้งที่คุณใช้ ให้ระวังปฏิกิริยาของทารกด้วย ในกรณีที่พวกเขาแพ้


สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวของทารกแรกเกิดด้วย ดังนั้น ควรมีโลชั่นไว้ให้เพียงพอ หรือขี้ผึ้งที่มีความหนาสม่ำเสมอก็จะช่วยให้ผิวของลูกน้อยนุ่มได้ดียิ่งขึ้น


หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีกลิ่นหอม มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย และระงับกลิ่นกายเช่นกัน เพราะอาจรุนแรงเกินไป อย่าเพิ่งใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จนกว่าลูกของคุณจะเข้าวัยหัดเดิน สบู่เด็กคือสิ่งดีที่สุดสำหรับลูกน้อยของคุณ


ผิวทารกต้องดูแล
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวทารกอย่างระมัดระวัง
ระวังสภาพอากาศ
โดยทั่วไปเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนควรได้รับการปกป้องจากการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงดังเช่นที่สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) แนะนำ แต่คุณสามารถทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อย ในบริเวณเล็ก ๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้าสำหรับทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนขึ้นไป หรือทาให้ทั่วสำหรับเด็กโต


ต่อมเหงื่อที่ไม่ได้รับการพัฒนาของทารกมักจะเสี่ยงต่อการเป็นผื่นจากความร้อนได้ง่าย เพื่อป้องกันปัญหานี้ ให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลวม ๆ และสวมหมวกเพื่อป้องกันแสงแดด


ในฤดูหนาวสภาพอากาศที่แห้งอาจเป็นอันตรายต่อผิวของลูกน้อยได้ ดังนั้น ควรใช้เครื่องทำความชื้นแบบละอองเย็นเพื่อให้อากาศชุ่มชื้น อย่าลืมทำความสะอาดเครื่องทำความชื้นอย่างสม่ำเสมอ มิฉะนั้นอาจเกิดเชื้อราได้ นอกจากนี้ควรให้น้ำแก่ลูกน้อยของคุณเพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นในช่วงเดือนที่อากาศหนาวและแห้ง


สำหรับการแต่งตัวของลูกน้อยของคุณ เป็นความคิดที่ดีที่จะแต่งกายให้ลูกน้อยของคุณเป็นชั้น ๆ ตลอดทั้งปี เพื่อที่คุณจะได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่เหมาะสมได้ระหว่างวัน เพื่อป้องกันแสงแดด ความร้อน หรือความเย็น แต่อย่าใช้น้ำยาซักผ้าที่มีกลิ่นหอมซึ่งอาจทำให้ผิวบอบบางระคายเคือง





ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 29 มิถุนายน 2564, 06:28:11 pm
โรคลิ้นหัวใจรั่ว อีกโรคที่ทารกแรกเกิดเป็นกันมาก


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


เชื่อไหมคะว่าเด็กทารกแรกเกิดทุก ๆ 100 คน จะมี 1 คน ที่เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด ซึ่งชนิดที่พบได้มากก็คือ “โรคลิ้นหัวใจรั่ว” ไม่ว่าจะเป็นผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจด้านบนหรือด้านล่างรั่ว อาการนี้สามารถเป็นมาแต่กำเนิดหรือตั้งแต่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ แล้วเราจะทราบหรือจะป้องกันได้อย่างไรบ้าง มาติดตามบทความด้วยกันค่ะ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2018/11/2a.jpg)

โรคลิ้นหัวใจรั่วในเด็ก
บางครั้งโรคก็ไม่แสดงอาการให้เห็นในตอนยังเป็นทารก
สาเหตุหลักของโรคลิ้นหัวใจรั่ว
เกิดความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาจไม่แสดงอาการให้เห็นตั้งแต่ในวัยเด็กหรือตั้งแต่แม่ยังตั้งครรภ์
โรคหัวใจรูห์มาติค เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก เมื่อร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาต่อต้านหัวใจตนเอง ทำให้เกิดการอักเสบของลิ้นหัวใจ ผลที่ตามมาคือลิ้นหัวใจมีความหนาขึ้นมาก ทำให้ลิ้นหัวใจตีบและรั่ว
อาจเกิดจากการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบและเป็นรู เชื้อโรคเหล่านั้นอาจเข้ามาทางช่องปาก การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันของผู้ที่ใช้ยาเสพติด การเจาะตามร่างกาย เป็นต้น
ลิ้นหัวใจเสื่อมไปตามอายุ เนื่องจากหัวใจเป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวและรับแรงดันจากเลือดตลอดเวลา ดังนั้น การเสื่อมจึงเกิดขึ้นได้ ลิ้นหัวใจจะหนาขึ้นและเริ่มมีหินปูน (Calcium) เข้าไปสะสมในเนื้อเยื่อ ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท


การวินิจฉัย
การตรวจหาโรคลิ้นหัวใจรั่วที่ให้ผลแม่นยำและเป็นมาตรฐานจะทำการตรวจโดยการใช้คลื่นเสียงสะท้อนหรือเครื่องอัลตราซาวด์ การตรวจชนิดนี้เรียกว่า เอคโค่ (Echocardiogram) เป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนเป็นภาพหัวใจ เพื่อตรวจดูอย่างละเอียดเป็นพิเศษภายในหัวใจและหลอดเลือด โดยกุมารแพทย์ด้านโรคหัวใจเด็ก วิธีนี้เป็นการใช้คลื่นเสียงเหมือนการทำอัลตราซาวด์ ซึ่งสามารถที่จะบอกรายละเอียดของความผิดปกติภายในหัวใจและเส้นเลือดใหญ่บริเวณใกล้หัวใจได้ นับว่าเป็นวิธีการตรวจที่ทำได้รวดเร็วและแม่นยำ โดยไม่มีข้อเสียหรือความเสี่ยงใด ๆ

โดยส่วนใหญ่การตรวจแบบใช้เครื่องอัลตราซาวด์จะกินเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น เราก็สามารถรู้ผลการตรวจได้ว่าลิ้นหัวใจมีความผิดปกติหรือไม่และสภาพการทำงานของมันเป็นอย่างไร เช่น ทิศทางการไหลเวียนของเลือด จังหวะการสูบฉีดเลือดของหัวใจเมื่อมีการหายใจเข้าออก การปิดเปิดของลิ้นหัวใจเมื่อเลือดสูบฉีดว่ามีการรั่ว หย่อนยาน หรือปูดขึ้นบ้างหรือไม่ ทั้งนี้แพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม ว่าจะรักษาด้วยวิธีการใดถึงจะเหมาะสมกับอาการที่เป็นอยู่


การรักษาโรคลิ้นหัวใจรั่ว
การรักษานั้นแพทย์จะประเมินจากอาการ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป
การรักษา
แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินว่าใจว่าสมควรที่จะผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจที่เกิดการชำรุดหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการพิจารณาจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค แพทย์จะผ่าตัดให้เฉพาะในรายที่ลิ้นหัวใจชำรุดมากเท่านั้น หากชำรุดเพียงเล็กน้อย เช่น ผนังกั้นห้องหัวใจส่วนล่างรั่ว (Ventricular Septal Defect : VSD) ที่รอยรั่วขนาดไม่ใหญ่รัก รอยรั่วนั้นก็อาจจะปิดได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น แพทย์จึงมักจะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวและเฝ้าติดตามอาการไปเรื่อย ๆ ก่อน ซึ่งการผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจสำหรับผู้ป่วยบางรายอาจต้องมีการผ่าตัดซ่อมแซมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายและการดูแลผู้ป่วยแต่ละราย





ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 15 กรกฎาคม 2564, 09:15:22 pm
10 อาการของ “ทารกแรกเกิด” ที่ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป

มีหลายสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องใส่ใจ เมื่อ “ทารกแรกเกิด” ได้ลืมตามาดูโลก แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของลูกน้อยมากที่สุด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณควรตัดความกังวลทิ้งไปซะ

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท [u=https://www.baby8slot.com/]ของเล่นเสริมพัฒนาการ[/u] ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/11_pthumb.jpg)


สัมผัสกระหม่อมบนศีรษะของทารก
หากคุณเคยทำสิ่งนี้ก็ไม่ต้องกังวลไป เมื่อคุณสัมผัสกระหม่อมของทารก นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะสัมผัสสมองของเขา แล้วคุณกำลังสัมผัสอะไรอยู่ ? มันคือเยื่อหุ้มเซลล์ที่มีความหนาและป้องกันได้ดี กระหม่อมมีอยู่เพื่อที่จะเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอดที่แคบได้อย่างปลอดภัย กะโหลกศีรษะของทารกมีความยืดหยุ่น ดังนั้น ศีรษะที่อ่อนนุ่มของลูกน้อยของคุณจึงรอดชีวิตจากการคลอดที่ค่อนข้างทุลักทุเลโดยไม่ทำอันตรายใด ๆ

 

เห็นชีพจรของทารกในกระหม่อม
สิ่งที่คุณเห็นคือการทำงานปกติของระบบไหลเวียนโลหิตของทารก เนื่องจากกระหม่อมครอบคลุมพื้นที่ของกะโหลกศีรษะที่ยังไม่หลอมรวมกัน มันจึงอ่อนนุ่ม ซึ่งทำให้มองเห็นเส้นเลือดและหลอดเลือดแดงได้ชัด

 

กระหม่อมทารกแรกเกิด

กระหม่อมของเด็กจะเห็นชัดเป็นธรรมดา แต่กะโหลกจะค่อย ๆ ปิดเอง

เลือดในผ้าอ้อมของทารกหญิงตัวน้อย
ในระหว่างตั้งครรภ์การเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนของมารดาสามารถกระตุ้นมดลูกของทารกในครรภ์หญิงได้ ภายในสัปดาห์แรกของชีวิต ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทารกเพศหญิงจะมีช่วงเวลาที่คล้ายกับการเป็นประจำเดือนสั้น ๆ ซึ่งมดลูกจะหลั่งเลือดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

 

โพรงเล็ก ๆ ในอกของทารก
วางใจได้เลย นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ากระดูกหน้าอกประกอบด้วยสามส่วน การเยื้องที่คุณเห็นน่าจะเป็นชิ้นส่วนด้านล่างที่เยื้องไปทางด้านหลัง เมื่อลูกของคุณโตขึ้น กล้ามเนื้อหน้าอกและหน้าท้องจะดึงมันให้ตรงขึ้นเอง โดยที่ก่อนหน้านั้น ชั้นของไขมันทารกจะปกปิดลักษณะทางกายวิภาคของทารกแรกเกิดเอาไว้

 

อึนุ่มเหลวหลังจากการให้นมทุกครั้ง
ทารกที่กินนมแม่อาจขับถ่ายหลังกินนมแต่ละครั้ง เนื่องจากนมแม่ย่อยเร็วมาก (ทารกที่กินขวดนมอาจมีการเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยลง) สำหรับปัญหาที่ไม่สบายตัวที่พ่อแม่เป็นห่วง ทารกแรกเกิดส่วนใหญ่จะอึนิ่มเพราะทารกกินอาหารเหลวทั้งหมด

 

ทารกแรกเกิดสะอึก

การสะอึกไม่ได้เป็นอันตรายสำหรับทารกน้อย

สะอึกอย่างต่อเนื่อง
ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจเช่นกันว่าทำไมเด็กทารกถึงสะอึกมาก บางคนบอกว่ามันเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างสมองและกะบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ควบคุมการหายใจ ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไร โดยทั่วไปแล้วอาการสะอึกเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายในวัยเด็ก

 

ร้องไห้
ทารกแรกเกิดมีระบบประสาทที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่และสะดุ้งได้ง่าย ซึ่งเป็นเพียงสองสาเหตุที่ทำให้เขาร้องไห้ออกมามาก และการร้องไห้เป็นวิธีเดียวในการสื่อสารความต้องการของทารก พูดง่าย ๆ คือเขาร้องไห้บ่อยมากแม้ว่าเขาจะดูเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ได้กำลังทำร้ายตัวเอง

 

สิวทารกแรกเกิด

ทารกแรกเกิดจะมีผื่นที่คล้ายสิวตามแก้มเป็นปกติ

ผื่นคล้ายสิวบนใบหน้า
เนื่องจากฮอร์โมนของมารดายังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายทารกแรกเกิดจำนวนมากจึงมีสิวซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่าง 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน มันไม่เป็นอันตราย แต่คุณต้องทำความสะอาดผิวให้ทารกอย่างอ่อนโยน

 

หน้าอกบวมในเด็กหญิงแรกเกิด … หรือเด็กชาย
ฮอร์โมนชนิดเดียวกันที่ทำให้ทารกเพศหญิงมีประจำเดือนเป็นช่วงสั้น ๆ สามารถทำให้หน้าอกของทารกทั้งสองเพศบวมได้ มันอาจจะดูน่ากลัว แต่มันจะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น และไม่ได้เป็นอันตราย

 

ทารกแรกเกิดจาม

การจามเป็นการปรับตัวของทารกเมื่อออกมาอาศัยนอกครรภ์มารดา

จามตลอดเวลา
ทารกมีจมูกเล็ก น้ำมูกเพียงเล็กน้อยก็ทำให้จามได้ และเนื่องจากทารกแรกเกิดของคุณเพิ่งโผล่ออกมาจากที่ที่เปรียบเสมือนบ้านที่มีน้ำขังในมดลูกของคุณ เขาจึงมีแนวโน้มที่จะมีเลือดคั่งเล็กน้อยในจมูก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการจามได้ เว้นแต่การจามของเขาจะมาพร้อมกับน้ำมูกข้นสีเหลือง ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นหวัด การจามทั้งหมดเป็นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เขาจะเติบโตไปตามปกติ

 

การให้ความระมัดระวังต่อเรื่องสุขภาพของทารกแรกเกิดนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากเกิดปัญหาใดขึ้นมาจะได้ติดต่อแพทย์อย่างทันการ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องทราบไว้ด้วยเช่นกันว่าอาการแบบไหนที่เราไม่จำเป็นต้องกังวลกับมันมากจนเกินพอดี เพื่อที่คุณจะได้เลี้ยงเจ้าตัวน้อยอย่างมีความสุขค่ะ

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 20 กรกฎาคม 2564, 05:31:42 pm
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด อีกโรคที่พบบ่อยในทารก

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

 

เรื่องสุขภาพของลูกเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ล้วนกังวลมากที่สุดเลยนะคะ โดยเฉพาะตอนที่เขายังเป็นทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด” ที่พบได้บ่อยในเด็ก และหากมีภาวะแทรกซ้อนมากก็ส่งผลถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น จึงอยากจะนำแนะโรคนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้จักกันเอาไว้ค่ะ

 

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart disease) เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก มันคือภาวะหัวใจล้มเหลว เพราะหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดอาการเหนื่อย หายใจเร็ว น้ำหนักตัวขึ้นช้า หรือมีขนาดตัวที่เล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

 

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านพยาธิสภาพ อาการ และอาการแสดง ดังนั้นการรักษาและการดูแลจึงต้องแตกต่างกันไปตามแต่ละกรณี แต่หากได้รับการวินิจฉัยล่าช้า สามารถส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตได้

 

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดคือ

หากเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อันตรายถึงชีวิต

สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนัก แต่ความปกตินั้นเกิดขึ้นในขั้นตอนการสร้างอวัยวะตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งอาจมีส่วนสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสในช่วง 3 เดือนแรก หรือเกิดจากกรรมพันธุ์

 

ชนิดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

ชนิดเขียว
 

หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าชนิดมีอ็อกซิเจนในเลือดต่ำ เกิดจากความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด หรืออย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้เลือดดำปนกับเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ส่งผลให้ทารกเกิดภาวะขาดอ็อกซิเจน ผิวจึงมีสีเขียวคล้ำอมม่วง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนตอนทารกร้องไห้หรือดูดนม อาการเขียวมักพบได้ตามปลายมือ ปลายเท้า ริมฝีปากมาแต่กำเนิด หรือค่อย ๆ เขียวมากขึ้นหลังคลอด ในรายที่มีอาการเขียวมากและเรื้อรัง จะพบว่ามีนิ้วมือหรือนิ้วเท้าปุ้ม นอกจากนี้อาจยังมีความผิดปกติอื่น ๆ ที่ค่อนข้างรุนแรง

 

โรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้คือ ชนิดที่มีรูรั่วที่ผนังกั้นระหว่างห้องล่างของหัวใจร่วมกับการตีบของทางออกของห้องล่างขวา (Tetralogy of Fallot หรือ TOF) โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดที่มีอาการตัวเขียวชนิดอื่นๆ ที่สามารถพบได้ เช่น

 

ชนิดที่เส้นเลือดใหญ่ของหัวใจและปอดสลับกัน (Transposition of great artery หรือ TGA)

ความผิดปกติของเส้นเลือดปอดที่นำเลือดกลับมายังหัวใจ (Total anomalous pulmonary venous connection หรือ TAPVC)

โรคหัวใจพิการแบบซับซ้อน (Cyanotic complex congenital heart disease)

ชนิดไม่เขียว
 

เกิดขึ้นจากความผิดปกติในโครงสร้างของระบบหลอดเลือดและหัวใจ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่เกิดการผสมกันของเลือดดำและเลือดแดง โดยความผิดปกติอาจเกิดขึ้นบริเวณผนังกั้นหัวใจมีรูลิ้นหัวใจที่ปิดไม่สนิท (รั่ว) หรือไม่กว้างเท่าปกติ (ตีบ)

 

โรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้คือ การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องล่าง (Ventricular septal defect หรือ VSD) โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดที่ไม่มีอาการตัวเขียวชนิดอื่นๆ ที่สามารถพบได้บ่อย เช่น

 

การมีความผิดปกติของเส้นเลือดใหญ่ระหว่างหัวใจและปอด
(Patent ductus arteriosus หรือ PDA)

การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องบน (Atrial septal defect หรือ ASD)

การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องบนและล่าง (Atrioventricular septal defect หรือ AVSD)

ชนิดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือชนิดเดียว และชนิดไม่เขียว

อาการของโรค

อาการสามารถเริ่มได้จากไม่มีอาการเลย จนถึงอาการรุนแรง ส่วนอาการที่มักพบได้บ่อยและทำให้พ่อแม่สงสัยว่าลูกน้อยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่ มีดังนี้

 

เหนื่อยง่ายเมื่อเทียบกับเด็กปกติ ในทารกจะพบว่าต้องใช้เวลานานในการดูดนม ดูดนมแล้วพักบ่อย หายใจเร็ว หายใจแล้วจมูกหรือซี่โครงบาน

ลิ้นเขียว เยื่อบุตา ริมฝีปาก ปลายมือ ปลายเท้าเป็นสีคล้ำ

ติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น เป็นหวัดหรือปอดบวมบ่อย

การเจริญเติบโตต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

ลักษณะภายนอกผิดปกติเข้าได้กับกลุ่มที่มีความผิดปกติของโครโมโซม เช่น กลุ่มอาการดาวน์

หน้าอกผิดรูป ยุบหรือโป่งมากผิดปกติ นิ้วปุ้ม

หัวใจเต้นเร็วและแรงผิดปกติ

การตรวจวินิจฉัยโรค

ควรให้ทารกได้รับการตรวจเบื้องต้นโดยกุมารแพทย์ทั่วไป จากนั้นให้มีการตรวจยืนยันเพิ่มเติมโดยกุมารแพทย์โรคหัวใจอีกครั้ง โดยขั้นตอนการตรวจจะเริ่มจากการตรวจร่างกายเบื้องต้น เช่น การฟังเสียงหัวใจ หลังจากนั้นกุมารแพทย์โรคหัวใจจะพิจารณาการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นหัวใจ เอ็กซเรย์หัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง และการสวนหัวใจ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน

 

การรักษา

รักษาด้วยยา เพื่อเป็นการประคับประคองอาการในทารกรายที่มีความผิดปกติไม่มากและสามารถหายได้เอง

รักษาด้วยการสวนหัวใจ ทำการรักษาในรายที่สามารถใส่อุปกรณ์สายสวนหัวใจได้ เช่น ภาวะผนังกั้นหัวใจห้องบนหรือห้องล่างรั่ว หรือทำบอลลูนให้ในรายที่มีอาการตีบของลิ้นหัวใจ

รักษาด้วยการผ่าตัด มักใช้ในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล ซึ่งการผ่าตัดส่วนใหญ่มักได้ผลดี

สาเหตุโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

หากพ่อแม่มีความสงสัย ต้องรีบให้แพทย์วินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ

คำแนะนำสำหรับทารกที่มีอายุแรกเกิดถึง 1 ปี

ในทารกบางรายอาจต้องมีการจำกัดปริมาณนม และอาจไม่สามารถรับนมแม่ได้

ควรหลีกเลี่ยงอาหารเสริมชนิดที่มีรสเค็ม

คำแนะนำสำหรับทารกที่อายุมากกว่า 1 ปี

เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และให้พลังงานสูง

ควรได้รับวัคซีนคุ้มกันเหมือนเด็กปกติและต้องได้รับวัคซีนเสริมบางชนิด

หมั่นดูแลสุขภาพของช่องปากและฟัน เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ รวมทั้งไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจฟัน และต้องแจ้งแก่ทันตแพทย์ว่าเป็นโรคหัวใจ

ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยหลีกเลี่ยงการพาทารกไปในที่ชุมชน

ดูแลเรื่องการขับถ่าย ฝึกการขับถ่ายให้เป็นนิสัย

งดออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือกิจกรรมที่ใช้กำลังมาก

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 11 สิงหาคม 2564, 12:22:24 pm
เปิดตัว “ฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อม” โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

เราทราบกันดีว่ายาฟาวิพิราเวียร์นั้นใช้รักษาอาการของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดตัว “ฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อม” สำหรับเด็กและผู้สูงอายุขึ้น และเป็นตำรับยาที่คิดค้นได้ในประเทศไทยเรานี่เองค่ะ เรามาติดตามรายละเอียดเกี่ยวยาตำรับใหม่นี้กันนะคะ

ยาฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อมตัวแรกของไทย
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตำรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ สำหรับต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ตำรับแรกในประเทศไทย โดยงานเภสัชกรรมฯ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เมดิกา อินโนวา จำกัด ได้ร่วมกันพัฒนาและคิดค้นสูตรตำรับยาน้ำเชื่อมปราศจากน้ำตาลฟาวิพิราเวียร์สำหรับผลิตในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ (Hospital preparation) เพื่อนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยสูงอายุ รวมถึงผู้ป่วยที่มีความลำบากในการกลืนยาเม็ด


ยาตำรับน้ำเชื่อมนี้เหมาะกับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีปัญหาในการกลืนยาเม็ด
จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยเหลือประเทศไทยให้สามารถผลิตยาให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมได้ และพบการติดเชื้อในเด็กเพิ่มมากขึ้น เพราะนี่คือความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 จะต้องสามารถเข้าถึงยารักษาโรคฟาวิพิราเวียร์ได้อย่างทั่วถึง

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตำรับยาน้ำเชื่อมปราศจากน้ำตาลฟาวิพิราเวียร์ ได้มีการคัดเลือกและควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบตัวยาสำคัญ ตลอดจนมีการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยาตามมาตรฐานสากล ด้วยวิธีการที่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องและการศึกษาความคงสภาพ เพื่อยืนยันคุณภาพตลอดช่วงอายุการใช้งานของยา

สำหรับตำรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์นั้น เป็นยาน้ำเชื่อมแบบปราศจากน้ำตาล ลักษณะเป็นยาน้ำใส สีส้ม มีรสราสพ์เบอรี่ ผลิตออกมาด้วยกัน 2 ขนาด คือ ขนาด 800 มิลลิกรัมในปริมาตร 60 มิลลิลิตร และ ขนาด 1,800 มิลลิกรัมในปริมาตร 135 มิลลิลิตร โดยให้รับประทานยาขณะท้องว่าง วันละ 2 ครั้ง ห่างกันทุก 12 ชั่วโมง

ขนาดและวิธีการใช้ยาในเด็ก
วันแรก รับประทานขนาด 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้ วันละ 2 ครั้ง และวันต่อมา ขนาด 20 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้ วันละ 2 ครั้ง

ขนาดและวิธีการใช้ยาในผู้ใหญ่
วันแรก รับประทาน ขนาด 1,800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และวันต่อมา ขนาด 800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง กรณีเป็นผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม หรือค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 กก./ตรม. วันแรก รับประทาน ขนาด 2,400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และวันต่อมา ขนาด 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

ขอยาฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อม
หากมีผลตรวจพบเชื้อ สามารถขอรับยาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ขอรับยาได้อย่างไร ?
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยเด็กและผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่มีผลตรวจ RT- PCR ยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 สามารถติดต่อเพื่อขอรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ได้ เพียงนำผลยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 หรือตามแพทย์เห็นสมควรจากประวัติสัมผัสและผลตรวจ Antigen rapid test เป็นบวก เข้ามาพบแพทย์และรับยาได้ที่ favipiravir.cra.ac.th หรือ โทร 06-4586-2570 ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค.นี้เป็นต้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

โดยระยะแรกในเดือนส.ค.-ก.ย.โรงพยาบาลจุฬาภรณ์สามารถผลิตยาตำรับนี้ได้จำกัด เพียงไม่เกิน 100 รายต่อสัปดาห์ และยานี้ต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 13 สิงหาคม 2564, 09:36:42 pm
คุณแม่ควรเริ่มต้นให้นมลูก เมื่อไร

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Favorite-Bamboo-Muslin_with-Baby_2.png)

การเริ่มต้นให้นม ควรจะเริ่มให้ไวที่สุดเท่าที่ทำได้คะ เพราะทันทีที่เจ้าตัวน้อยออกมาเผชิญโลกกว้าง เค้าจะไม่ได้รับสารอาหารจากคุณแม่ทางสายสะดืออีกต่อไป ดังนั้น คุณแม่ที่คลอดแบบธรรมชาติ ถ้าฟื้นตัวไว ก็สามารถให้ลูกเริ่มดูดกระตุ้นได้ตั้งแต่ชั่วโมงแรก หลังคลอดเลยทีเดียวคะ แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะทารกน้อยที่เกิดมา จะใช้เวลาในการนอนมาก มักไม่ค่อยตื่นมาช่วยดูดเท่าไร

สำหรับคุณแม่ที่ผ่าคลอด จำเป็นต้องพักฟื้น 1 วัน ห้ามลุก เพราะอาจกระทบกระเทือนกับแผลผ่าตัดได้ บางโรงพยาบาล จะช่วยเลี้ยงเจ้าตัวน้อยให้ 1 วัน แล้วจึงจะส่งมาให้คุณแม่ได้อุ้มสมใจ ในวันถัดไปคะ แล้วคุณแม่ผ่าคลอดจะเริ่มต้นให้นมได้ยังไง ?? คำตอบคือ ทันทีที่คุณหมออนุญาตให้คุณแม่ลุกขึ้นนั่งได้คะ อาจเป็น 1 วัน หลังจากผ่าคลอด หรือในคุณแม่ที่จำเป็นต้องฟื้นตัวนาน อาจใช้เวลาถึง 2 วัน ทันทีที่นั่งได้ คุณแม่สามารถอุ้มเจ้าตัวน้อย ดูดกระตุ้นให้น้ำนมคะ ^^

อีกตัวเลือกหนึ่ง คุณแม่สามารถใช้เครื่องปั๊มนม ซึ่งปัจจุบันมีหลายหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ ทั้งแบบหัวเดียว และ สองหัว (แม่ค้าแนะนำแบบที่ชาร์จได้ และมี 2 หัว เพื่อความสะดวกในการพกพา และรวดเร็วเวลาปั๊มนมคะ) เครื่องปั๊มนี้ แม้ว่าเจ้าตัวน้อยของเรายังหลับอยู่ เราก็ยังสามารถใช้เครื่องมาปั๊มกระตุ้น และเก็บไว้ให้เจ้าตัวน้อยกินได้คะ
โดยปกติ ร่างกายคุณแม่จะผลิตน้ำนม ภายใน 2-3 วัน หลังจากคลอดเจ้าตัวน้อย น้ำนมหยดแรกๆ จะมีสีเหลืองเข้ม (เหลืองยิ่งกว่ายาคูลย์ซะอีก) คุณแม่ไม่ต้องตกใจ น้ำนมเราไม่ได้เสียนะคะ น้ำนมสีนี้แหละที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล อย่าได้เผลอทิ้งเชียว เพราะมันอุดมไปด้วยแบคทีเรียชนิดดีและมีภูมิคุ้มกันที่หาที่ไหนไม่ได้ อีกแล้วนะคะ แต่หลังจากร่างกายผลิตน้ำนม ประมาณ 3-4 วัน สีของน้ำนม จะเริ่มอ่อนลง เป็นเรื่องปกติคะ
ในคุณแม่บางคน น้ำนมอาจจะเริ่มไหลใน 5-7 วัน ไม่ต้องกังวลหรือเครียดไปนะคะ สำคัญที่ร่างกายคุณแม่ ถ้าพร้อมเมื่อไรน้ำนมก็จะมาเองคะ แต่ในช่วงนี้ คุณแม่อาจต้องใช้นมผสมไปพลาง แต่อย่าลืมให้ลูกดูดเต้า หมั่นกระตุ้นให้บ่อยที่สุดที่ทำได้นะคะ

ในช่วง 2-3 วันแรก เจ้าตัวน้อยควรจะดื่มนม ทุกๆ 1-3 ชั่วโมง ตลอดวัน และตลอดคืน หากเค้าหลับ คุณแม่ควรปลุกเค้าให้ตื่นมาทานนม ทุก 3 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น อาจเกิดภาวะตัวเหลืองได้นะคะ

น้ำนมแม่จะเริ่มไหลเมื่อไร

โดยปกติแล้ว คุณแม่จะเริ่มมีน้ำนมไหลออกมา ในช่วง 1-3 วัน หลังจากคลอดเจ้าตัวน้อยออกมา แต่ก็มีคุณแม่บางราย เริ่มมีน้ำนมไหลขณะที่ตั้งครรภ์ หรือ เริ่มไหลภายหลังจากคลอดน้องประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของร่างกายคุณแม่คะ สำหรับคุณแม่มือใหม่คงจะสงสัยว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าน้ำนมจะไหล อยู่ๆก็ไหลเองรึเปล่า หรือมีอาการอย่างไรบ้าง ?? มาดูกันเลยคะ

น้ำนมแม่จะเริ่มไหลเมื่อไร
คุณแม่ส่วนใหญ่จะรับรู้ถึงอาการ ว่าน้ำนมกำลังจะเริ่มไหล ขณะที่เจ้าตัวน้อยมีการดูดกระตุ้น หรืออาจเป็นภายหลังจากนั้น โดยมีสิ่งมากระตุ้น เช่น เสื้อผ้ามีการสัมผัส หรือถูไปมากับหัวนม อาการที่คุณแม่จะรับรู้ได้ ก็คือ รู้สึกเหมือนมีหมุดและเข็มเล็กๆ หรือรู้สึกเสียวภายในหน้าอก อาการต่อมา คุณแม่จะรู้สึก ตึง เต้านมแข็งขึ้น และมีน้ำนมไหลออกมาภายใน 1-5 วินาที น้ำนมก็จะดันตัวเอง หยดออกมาปริมาณหนึ่ง คุณแม่ควรจะให้เจ้าตัวน้อยดูดทันที หรือ ปั๊มเก็บไว้ให้เจ้าตัวน้อยได้ทาน อย่าลืมว่า น้ำนมหยดแรกๆนี้ จะมีสีเหลืองเข้ม (เหลืองยิ่งกว่าสียาคูลย์เสียอีก) น้ำนมช่วงแรกเริ่มนี้เอง มีคุณค่า และภูมิต้านทานมากที่สุด คุณแม่อย่าพลาดเชียวนะคะ

การให้เจ้าตัวน้อยดูดบริเวณหัวนม จะไปกระตุ้นเส้นประสาทในหัวนม ให้ส่งข้อความไปยังสมองของคุณแม่บอกให้หลั่งน้ำนมออกมา และในคุณแม่บางคนอาจจะรู้สึกปวดในมดลูกขณะที่น้ำนมไหลอีกด้วย การให้นมนี้ จะเป็นประโยชน์ และช่วยให้มดลูกของคุณแม่หดกลับไปขนาดเดิมอีกด้วยคะ

ในคุณแม่บางราย ที่มีการให้น้ำนมอย่างสม่ำเสมอ เป็นช่วงเวลา พอถึงเวลาที่จะให้นม ก็จะคัดนม และมีน้ำนมไหลออกมาอย่างรวดเร็ว คุณแม่ที่มีน้ำนมดีๆ อาจจะมีอาการดังกล่าว น้ำนมไหลทันที เพียงแค่เห็นเจ้าตัวน้องร้องไห้ หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยโดนหน้าอก เท่านั้น

ทันทีที่น้ำนมไหล คุณแม่ควรให้ลูกดูด หรือปั๊มเก็บให้หมดจนเกลี้ยงเต้า เพราะหากเอาออกไม่หมด สิ่งที่ตามมาก็คือ จะเกิดเป็นไตแข็งภายในหน้าอก จนนำไปสู่อาการไข้ขึ้น น้ำนมน้อยลงคะ



ขอบคุณข้อมูลจาก babekits.com

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 16 สิงหาคม 2564, 12:20:25 pm
คุณแม่มือใหม่ จะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าตัวน้อยหิวนม

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

สำหรับคุณแม่มือใหม่ คงเคยได้ยินมาว่า “ทารกแรกเกิดนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า กิน, นอน, ฉี่, อึ” ก็จริงตามที่เค้าพูดมาคะ
เจ้าตัวน้อยของเรา ในช่วงแรกคลอดจะใช้เวลานอนเป็นส่วนใหญ่ จะมีร้องกินนมบ้าง หรือร้องไม่สบายก้นเพราะเค้าฉี่ หรืออึ ออกมาใส่ผ้าอ้อมบ้าง แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าลูกหิวนม

รู้ได้ยังไงว่าลูกหิวนม
อาการแรก ที่ลูกจะแสดงออก ก็คือ การร้องไห้คะ ทันทีที่เจ้าตัวน้องร้องไห้ ให้ดูก่อนว่า เค้าฉี่ หรือ อึ หรือเปล่า ถ้าเปลี่ยนผ้าอ้อมเรียบร้อยแล้ว อุ้มโยก พร้อมกับตบก้นเบาๆ แล้วเค้ายังไม่หยุดร้อง ก็แสดงว่าเค้าหิวนมคะ ส่วนอาการอื่นๆ ที่ลูกพยายามจะบอกว่าเค้าหิว มีตามนี้

– เปิด และปิดปาก หรือทำเสียงจั๊บๆ
– ดูดริมฝีปาก, ดูดนิ้วมือ-นิ้วเท้า หรือสิ่งของอื่นๆ
– หมุนหัว ซุกบนอกคุณแม่ หรือที่นอน
ถ้าคุณแม่สงสัยว่าเจ้าตัวน้อยหิวนม ก็สามารถให้กินเต้า หรือดูดจากขวดนมได้เลยคะ ถ้าเค้ารับไปดูด ก็แสดงว่า หิวนมแล้ว หรือถ้าดูดเล่นไม ไม่จริงจัง ก็แสดงว่าเค้ายังไม่ต้องการ ก็ปล่อยเค้านอนเล่นไปก่อน แล้วคอยสังเกตอาการเอา ส่วนใหญ่ก็จะดูดริมฝีปาก หรือทำเสียงจั๊บๆ คะ

ให้ลูกดูดเต้าหรือขวดนมดี
การ ดูดเต้า หรือจาก ขวดนม ก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ขอให้เป็น นมแม่ เพราะเป็นอาหารที่ดีที่สุดของลูกน้อยของเราคะ สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่ไม่มีน้ำนม ก็ไม่เป็นไรนะคะ การให้นมขวดก็มีข้อดีหลายๆอย่างเรามาดูข้อดี และข้อเสีย กันเลย

ข้อดีของการให้ดูดนมจากเต้า
สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่และลูกน้อย การอุ้มขณะคุณแม่ให้นมลูก จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับรู้การสัมผัส การกอดอันอบอุ่น ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคุณแม่ และลูกน้อยได้เป็นอย่างดี
ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วน เพราะลูกน้อยได้รับนมที่สด และใหม่จากอกคุณแม่ (คุณแม่ควรให้ลูกดูดจนหมดเต้าด้วยนะคะ)
ดูดได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวเสีย หากสถานที่ไม่อำนวย คุณแม่สามารถหาผ้าคลุมให้นม มาคลุมขณะให้นมก็สะดวกดีคะ
ช่วยให้มดลูกของคุณแม่เข้าอู่ และทำให้น้ำหนักลดลงไวขึ้น เนื่องจาก ร่างกายคุณแม่ จะมีการเผาผลาญที่ดี เพื่อกลั่นออกมาเป็นน้ำนมให้ลูกน้อยได้กินคะ

ข้อดีของการให้ดูดนมจากขวด
สะดวก และง่ายต่อการให้นม เจ้าต้วน้อยสามารถทานนมได้ทุกที่
ไม่ว่าใครก็ป้อนนมขวดให้เจ้าตัวน้อยได้ ทำให้คุณแม่มีเวลาไปทำสิ่งอื่นๆได้ง่ายขึ้น
ช่วยให้คุณแม่มีเวลาเพิ่มขึ้น ในระหว่างที่ลูกดูดขวด คุณแม่จะมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกนิด ทำให้ง่ายต่อการปั๊มกระตุ้น ให้น้ำนมเพิ่มมากขึ้น และยังทำให้คุณแม่รู้ปริมาณน้ำนมของตนเองได้ชัดเจนขึ้น
รู้ปริมาณนมที่ลูกกิน ทารกแรกเกิด บางคนดูจะชอบกินนมจากขวด เพราะไม่ต้องออกแรงดูดมากเท่ากับเต้า
 
ทางที่ดีคุณแม่ควรฝึกให้ลูกสามารถดูดสลับกัน โดยไม่เกิดความสับสน ระหว่างเต้ากับจุกนมคะ
ตัวอย่างเช่น คุณแม่ที่ทำงานนอกบ้าน อาจปั๊มนมเก็บไว้ระหว่างทำงาน เพื่อเอากลับมาให้เจ้าตัวน้อยกินในวันถัดไป ซึ่งเป็นเวลาที่คุณแม่ไม่ได้อยู่เลี้ยง และพอกลับมาถึงบ้าน ก็ให้เค้าดูดเต้าแทนขวดนม จนกระทั้งเจ้าตัวน้อยนอนหลับ ค่อยปั๊มนมเก็บให้เกลี้ยงเต้า วิธีนี้จะช่วยให้ลูกได้อยู่ใกล้ชิดคุณแม่ และยังช่วยให้คุณพ่อ หรือปู่ย่าตายาย ง่ายต่อการเลี้ยงเจ้าตัวน้อย ยามที่คุณแม่ไม่อยู่
อีกทั้งสามารถแก้ไขอาการคัดน้ำนม จนเป็นก้อนแข็งภายในเต้าของคุณแม่ด้วย เพราะลูกน้อยยังช่วยดูดได้อยู่คะ




ขอบคุณข้อมูลจาก babekits.com



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 17 สิงหาคม 2564, 11:21:25 am
ทายเพศลูกก่อนอัลตร้าซาวด์

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

ทันทีที่รู้ว่า จะมีเจ้าตัวน้อย เพิ่มขึ้นมาในครอบครัว คุณแม่คุณพ่อทุกๆคน ย่อมอยากรู้ว่า ลูกในท้อง จะเป็น ลูกชาย หรือ ลูกสาว และเฝ้ารอให้ถึงวันอัลตร้าซาวด์ อย่างใจจดใจจ่อ คุณแม่บางคนใจแข็ง รอลุ้นเพศลูก ในวันคลอดเลยทีเดียว แต่จะได้เทวดา หรือ นางฟ้าตัวน้อย ก็รักอยู่แล้วค่ะ
 
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/11_pthumb.jpg)

สีปัสสาวะ
สีปัสสาวะของคุณแม่ก็อาจบ่งบอกเพศของลูกได้ โดยคุณแม่ที่มีปัสสาวะสีเหลืองใส ให้สันนิษฐานว่าคุณแม่อาจได้ลูกชาย แต่ถ้ามีปัสสาวะสีเหลืองขุ่น ก็แสดงว่าคุณแม่อาจได้ลูกสาวค่ะ แต่ทั้งนี้สีของปัสสาวะก็ขึ้นอยู่กับระดับน้ำในร่างกายและขึ้นอยู่กับการทานอาหารบางชนิดของคุณแม่ด้วยนะคะ

อาการแพ้ท้อง
บางครั้งอาการแพ้ท้องของคุณแม่ก็สามารถบ่งบอกเพศของลูกได้เช่นกันนะคะ คุณแม่ผู้มีประสบการณ์หลาย ๆ ท่านมักบอกว่าตอนตั้งท้องลูกสาวจะมีอาการแพ้ท้องมากกว่าตอนตั้งท้องลูกชาย ซึ่งจากการสำรวจก็มีผลออกมาแล้วว่าคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง มีแนวโน้มที่จะได้ลูกสาวเสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าคุณแม่ไม่มีอาการแพ้ท้องใด ๆ หรือมีแต่น้อยมาก ก็แสดงว่าคุณแม่อาจกำลังจะได้ลูกชายค่ะ

ลักษณะท้อง
คนสมัยก่อนหรือคนโบราณมักจะเชื่อกันว่าถ้าคุณแม่มีท้องแหลม ท้องห้อยลง และมีลักษณะคล้ายกำลังอุ้มลูกบาส แถมเวลาลูกดิ้นยังรู้สึกเจ็บแถวกระเพาะปัสสาวะบ่อย ๆ แสดงว่าลูกอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่ถ้าคุณแม่มีท้องกลมป้าน และมีลักษณะคล้ายกับอุ้มลูกแตงโมอยู่ อีกทั้งเวลาลูกดิ้นยังรู้สึกเจ็บแถวซี่โครงนั้น ก็แสดงว่าอาจจะเป็นเด็กผู้หญิงได้ค่ะ

ขนาดหน้าอกของแม่
คุณแม่ลองสังเกตเต้านมของตัวเองดูสิคะว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างขณะตั้งครรภ์ ถ้าคุณแม่คนไหนรู้สึกว่าหน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม แสดงว่าคุณแม่อาจกำลังจะได้ลูกสาวนะคะ แต่ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ก็แสดงว่าคุณแม่อาจได้ลูกชายค่ะ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะทารกเพศชายทำให้ร่างกายคุณแม่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูงขึ้น ซึ่งจะไปควบคุมฮอร์โมนของคุณแม่ ทำให้หน้าอกขยายได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้คุณแม่ที่อุ้มท้องลูกชายมีหน้าอกเล็กกว่าคุณแม่ที่อุ้มท้องลูกสาวนั่นเองค่ะ

ผิวพรรณ ผมและเล็บ
หากคุณแม่พบว่าตนเองมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งสดใส ผมยาวสลวยดูสุขภาพดี มีเล็บยาวเร็วขณะตั้งครรภ์ นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะได้ลูกชายนะคะ แต่ถ้าคุณแม่พบว่าตัวเองมีผมแห้ง มีสิวฝ้า หน้าหมองคล้ำ ก็แสดงว่าอาจจะได้ลูกสาว เนื่องจากฮอร์โมนจากเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงง่าย จึงเป็นไปได้ที่คุณแม่จะมีสิวบนใบหน้า แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัด เพราะอาการที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณของคนท้องนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากคุณแม่เองค่ะ

อัตราการเต้นของหัวใจลูก

เราสามารถฟังเสียงหัวใจลูกเต้นได้ ในสัปดาห์ที่ 10-12 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยว่าเอื้ออำนวยด้วยหรือไม่ เช่น ตำแหน่งทารกที่อยู่ในครรภ์ หรือ ปริมาณชั้นไขมันของคุณแม่ ดังนั้น ถ้าคุณหมดสามารถตรวจอัตราการเต้นของหัวใจลูกได้ คุณแม่ลองถามคุณหมอดู ว่าลูกมีอัตราการเต้นของหัวใจเท่าไร ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจเด็กต่ำกว่า 140 ครั้งต่อนาที แสดงว่าทารกในครรภ์อาจเป็นเพศชาย แต่ถ้ามีอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่า 140 ครั้งต่อนาทีละก็ อาจเป็นทารกเพศหญิงค่ะ  (ทารกในครรภ์ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าผู้ใหญ่ ถือเป็นเรื่องปกติ ค่ะ)

การคาดเดาเพศของลูกในครรภ์ด้วยวิธีดังกล่าวนี้ อาจยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนและแม่นยำมากนัก เพราะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ย่อมมีอาการแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น อายุ สภาพแวดล้อม สภาพร่างกาย หรือการตั้งครรภ์ในครั้งก่อน เป็นต้น อย่างไรแล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากทราบเพศของลูกเร็ว ๆ ละก็ มีอีก 1 วิธีค่ะ ที่ได้ผลชัวร์เลยค่ะ ก็คือ การอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจสอบเพศจะเป็นวิธีที่แม่นยำมากกว่าค่ะ คราวนี้เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าตัวเองได้ลูกชายหรือลูกสาว ก็จะได้เตรียมตัวจัดของต้อนรับลูกน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้เลย ค่ะ



ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 19 สิงหาคม 2564, 12:23:26 pm
9 เทคนิค ช่วยให้ลูกชอบกินผัก

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

เกือบทุกบ้าน มักพบกับปัญหาลูกไม่ยอมกินผัก แค่เห็นสีเขียวๆนิดเดียวก็เขี่ยออกแล้ว แต่ถ้าคุณแม่ตามใจ ปล่อยเลยตามเลย สุดท้ายก็จะมีผลต่อสุขภาพของเจ้าตัวน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย เริ่มจากระบบขับถ่ายก่อน ลูกจะมีอาการท้องผูก ถ่ายยาก อึแข็ง ร้องไห้เวลาถ่ายจนน่าสงสาร และยังเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงหลายชนิด เมื่อโตขึ้นไป วันนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ให้ได้เทคนิคดีๆที่ได้รวบรวม เทคนิค ช่วยให้ลูกชอบกินผัก ที่หลายๆบ้านทำแล้วได้ผล มาฝากกันค่ะ

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/phpfj7hMs_pthumb.jpg)

9 เทคนิค ช่วยให้ลูกชอบกินผัก
ปลูกฝังให้ลูกน้อยกินผักตั้งแต่เริ่มอาหารมื้อแรก เมื่อลูกถึงวัยเริ่มทานอาหารบด หรืออาหารหยาบ คุณแม่ควรผสมผักลงในจานด้วยเสมอ เพื่อเป็นสร้างความคุ้นเคยให้ลูกกินผัก ให้เหมือนกับการกินข้าวนั่นเอง อาจเริ่มจากผักที่มีรสหวาน ทานง่ายๆ เช่น มันฝรั่ง แครอท แล้วค่อยเริ่มทาน ฟักทอง ฟักเขียว แตงกวา แตงล้าน ที่ต้องอาศัยการปรุงเพิ่มรสชาติ  หลังจากนั้นเริ่มผักใบ เช่น ตำลึง ผักกาดขาว ฯลฯ ทั้งหมดนี้

สร้างความประทับใจแรกให้กับเมนูผัก ลองคิดดูนะคะว่า ถ้าสิ่งแรกที่เค้าจำความได้เกี่ยวกับผัก คือ มีรสขม แข็ง ไม่มีความอร่อยเลย ทีนี้การจะให้ลูกทานผักในมื้อต่อๆไป นั้นยิ่งยากขึ้นไปอีก ดังนั้น เมื่อเจ้าตัวน้อยเริ่มรู้เรื่อง เริ่มจดจำและมีความคิดเป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ คราวนี้ก็เป็นเวลาของคุณแม่ที่จะคัดสรรผักที่มีรสชาติดี สีสันสดใส เพื่อมาสร้างสรรค์เมนูผัก ให้หลายหลาย น่ากิน สร้างความประทับใจแรกให้กับเจ้าตัวน้อยกันแล้ว

ชิ้นผักในจานลูก ต้องทานง่าย ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะเด็กส่วนใหญ่มักจะเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ดังนั้น ผักชิ้นใหญ่ หรือยาวจนเกินไป อาจติดคอลูกได้ ทางที่ดี คุณแม่ควรหั่นให้เล็กเข้าไว้ แต่ไม่ถึงกับสับละเอียด จนไม่เหลือเค้าของผัก ส่วนผักที่แข็ง ก็ควรนำไปลวกให้นิ่มเสียก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการกินของลูก

ให้ถือกินเล่น เหมือนขนมขบเขี้ยว ผักบางประเภท เช่น แครอท แตงกวา แกนคะน้าอ่อน เมื่อหั่นเป็นแท่ง นำไปลวก และแช่ตู้เย็นไว้ ก็จะมีความกรอบ สามารถเอามาให้ลูกถือกินเล่น เหมือนขนมได้ ช่วยทำให้ลูกน้อยคุ้นเคยกับกลิ่น และรสชาติของผักไปด้วย

พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ในทุกมื้อ ควรจะมีเมนูผักอย่างน้อย 1 อย่าง และคุณพ่อคุณแม่นั่นแหล่ะ ที่จะต้องทานผัก เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกๆ เมื่อลูกเห็นพ่อแม่ทาน ก็จะทานตามไปด้วยเอง อย่าทำเหมือนว่า เมนูผัก มันต่างจากเมนูอื่นๆบนโต๊ะ

สร้างสีสันให้เมนูผัก ด้วยการตกแต่งให้น่ากิน การทำผักให้เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่ลูกชอบ ก็จะเชิญชวนให้ลูกสนุกกับการกินผัก ถ้าอยากเพิ่มความสนุกเข้าไปอีก โดยการซ่อนผักรูปสัตว์นั้น ลงในข้าวเพื่อให้ลูกค้นหา หรือจะเอาไปชุบแป้งทอด กลายเป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดของลูกก็เยี่ยมค่ะ

อ่านนิทาน หรือเปิดการ์ตูนที่ชอบกินผัก เพื่อเป็นตัวอย่าง และเชิญชวนให้ลูกกินผักตาม ตัวอย่างการ์ตูน เช่น ป๊อปอาย

บอกประโยชน์ของผักให้ลูกรู้ ถ้าลูกชายอยากแข็งแรง อย่างป๊อปอาย ก็บอกว่า ต้องกินผักสีเขียวให้เยอะ หรือถ้าเป็นลูกสาว อยากผิวสวย น่ารัก ก็บอกให้ทานมะเขือเทศ แตงกวา ผักกาดขาว หรือ “ถ้าไม่อยากสายตาสั้น อย่างพ่อ ต้องกินผักบุ้งให้เยอะๆ” ฯลฯ อันนี้ต้องใช้ฝีมือหลอกล่อของคุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ

ชวนลูกเข้าครัว ลงมือทำอาหารเมนูผักด้วยกัน การให้ลูกมีส่วนร่วมในการเตรียมอาหาร จะทำให้เค้ารู้สึกอยากทานเมนูที่เค้าทำขึ้นเองได้มากขึ้น คุณแม่ลองถือโอกาส แอบชวนลูกทานผักระหว่างเตรียมไปพร้อมๆกันด้วยซะเลย

จาก 9 เทคนิคด้านด้านบน เชื่อว่าต้องมีสักอันทำให้เจ้าตัวเล็กเริ่มทานผักได้ ที่สำคัญ คุณแม่ต้องไม่ละความพยายามเสียก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย พร้อมแล้ว ก็เริ่มกันได้เลยค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจาก babekits.com



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 20 สิงหาคม 2564, 11:09:47 am
อาหารแบบไหน? ที่คุณแม่ควรเลี่ยงและคุณแม่กับคาเฟอีน

อาหารแบบไหน? ที่คุณแม่ควรเลี่ยง…
 

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/neo-800x800-01-510x510-1.jpg)

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


คุณแม่หลาย ๆ คน มักมีของชอบที่แตกต่างกันไป ตามรสชาติและชนิดของอาหารที่ชอบ แต่เมื่อเกดิการตั้งครรภ์ คุณแม่ต้องคำนึงและระวังอาหารที่ทานเข้าไปในทุก ๆ มื้อ เพราะ

โภชนาการที่คุณแม่ได้รับลูกน้อยในครรภ์ก็ได้รับด้วย เราจึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในอาหารแต่ละมื้อ ไม่ว่าอาหารจานนั้นจะเป็นของโปรดหรือไม่ก็ตาม

 
วันนี้เราจะมาแนะนำอาหารและเครื่องดื่มที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยง ด้วยโภชนาการที่ได้รับไม่เกิดผลดีต่อลูกน้อยเท่าไหร่นัก ทำให้คุณแม่ทั้งหลายต้องอดใจ ไม่รับประทานเพื่อลูกน้อย

อาหารรสจัดและมีกลิ่นฉุนมาก เช่น ยำรสจัด มีกลิ่นฉุนของหัวหอม อาจทำให้ลูกไม่สบายท้อง แม่แสบกระเพาะอาหารได้ง่าย

ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ หากดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ควรเลี่ยงการให้นม/ปั๊มนม 2 ชั่วโมงหลังการดื่ม เพราะลูกสามารถได้รับคาเฟอีนผ่านน้ำนม

แม่ได้ และมีผลต่อการสร้างกระดูกของลูก เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือลูกน้ำหนักน้อยกว่าปกติพิการได้

 
อาหารหมักดอง และเลี่ยงการรับประทานอาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป อาหารที่มีผงชูรสและสารปรุงแต่งต่างๆ เช่น กุนเชียง ลูกชิ้น ไส้กรอก หมูยอ ปลากระป๋อง ผักกาดดองกระป๋อง เพราะร่างการจะได้รับปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจและไตทำงานหนักมากขึ้น

 

เลี่ยงกลุ่มครื่องดื่มที่มีรสหวาน เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน โกโก้เย็น นมเปรี้ยว เป็นต้น กลุ่มขนมเบเกอรี่ เช่น เค้ก พาย โดนัท เป็นต้น กลุ่มขนมขบเคี้ยว เช่น ปลาเส้นปรุงรส มันฝรั่งทอด ขนมปังเวเฟอร์ขนมปังแท่ง เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้หญิงตั้งครรภ์อ้วน และมีความเสี่ยงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษ ลูกเกิดมาตัวใหญ่ คลอดยาก อีกทั้งเสี่ยงที่จะเป็นเด็กอ้วนในอนาคต

 

การรับประทานยาบางชนิด แม้สารในตัวยาสจะมีเพื่อรักษาอาการเจฌบป่วย แต่สารบางตัวมีฤทธิ์ที่ส่งผลเสียต่อลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้นจำเป็นต้องทานยาควรปรึกษาแพทย์ ก่อนทุกครั้ง

 

คุณแม่กับคาเฟอีน

ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตครองใจทุกเพศ ทุกวัย บางคนทานกาแฟตอนเช้าเพื่อให้รู้สึกสดชื่น หลุดพ้นจากความง่วง ข้ามมาช่วงบ่ายทำงานนั่งโต๊ะจนร่างกายเอื่อยเฉื่อย ได้ดื่มชาเย็น ๆ อีกสักแก้ว เพิ่มน้ำตาลให้กับร่างกายก็แก้ง่วงได้ดี แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังเริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นคุณแม่แล้ว การทานคาเฟอีนแบบที่ทำอยู่ทุกวันอาจไม่ดีต่อลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์นัก

 

หากบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมาก ๆ

จะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างไร ?

คาเฟอีนมีสารขับปัสสาวะ ทำให้เราปัสสาวะบ่อย ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำ มากกว่าปกติ กรณีนี้ คุณแม่ควรดื่มน้ำทดแทนด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ

ทารกในครรภ์ไม่สามารถขับสารคาเฟอีนที่รับมาได้เอง หากได้รับในปริมาณที่มาก อาจทำให้การเจริญเติบโตช้า หรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ บางรายมีโอกาสพิการแต่กำเนิดได้

 

   สำหรับคุณแม่ที่ทานเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นประจำ คงเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความอดทน และห้ามใจเป็นอย่างมาก เพื่อลูกน้อย แต่สารคาเฟอีนในเครื่องดื่ม ไม่ได้อันตรายเสียทีเดียวหากเรารู้จักที่จะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ

 

การบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างไรให้พอดี ?

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานในคนท้อง ที่มีสาเหตุมาจากน้ำตาลในกาแฟอีกด้วย

ดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง อย่างที่กล่าวไป การดื่มเครื่องที่มีคาเฟอีนนั้นจะทำให้ร่างกายขับปัสสาวะบ่อยกว่าที่ควร เกิดภาวะขาดน้ำได้ การดื่มน้ำก็ช่วยทดแทนได้เช่นเดียวกัน

เปลี่ยนจาก ชา กาแฟ มาเป็น น้ำผลไม้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้เช่นกัน และยังช่วยลดอาการกระหายน้ำ จากเดิมที่เราจะชงกาแฟดื่มยามบ่าย ก็เปลี่ยนมาเป็น น้ำส้มคั่น น้ำฝรั่ง หรือ นม ก็เพิ่มความสดชื่น และ ชื่นใจได้ แถมยังดีต่อสุขภาพคุณแม่และลูกน้อยอีกด้วย

ประมาณไม่เกินวันละ 200 – 400 มิลลิกรัม หรือ 1-2 แก้วมัค คือปริมาณที่พอเหมาะต่อการบริโภค สำหรับคนทั่วไป เพราะได้มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่า ในผู้หญิงที่ดื่มกาแฟหรือชาปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวันมีโอกาสแท้งลูก หรือมีบุตรยากกว่าปกติ และในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีโอกาสที่ครรภ์จะผิดปกติมากกว่าเดิมเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นเมนูที่ไม่แนะนำสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ เพราะส่งผลเสียกับลูกน้อยมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ ควรบริโภคให้น้อยที่สุดจะดีมาก

 

 

ขอบคุณบทความดี ๆ จาก        พญ.ธิติมา เหล่าศิริรัตน์

                                     สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา

                                     โรงพยาบาลเปาโล

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 24 สิงหาคม 2564, 11:47:52 am
เด็กแต่ละวัย ควรตรวจสุขภาพอะไรบ้าง ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ปี

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/04/55862967_128366008274023_8195083490595096172_n.jpg)

ตรวจสุขภาพ เด็กแรกเกิด ดูอะไรบ้าง?
1. ตรวจความสมบูรณ์ทั่วไปของอวัยวะภายนอก
น้ำหนัก ความยาว เส้นรอบศีรษะ เท้า ขา ข้อสะโพก เสียงปอด เสียงหัวใจ

2. ตรวจการได้ยิน
(ไม่ได้ตรวจทุกคนแต่ถ้าอยู่ในที่ที่สามารถตรวจการได้ยินได้ควรตรวจค่ะ) เนื่องจากในเด็กปกติจะพบมีความผิดปกติของการได้ยินได้ 1-2 คนต่อเด็ก 1000 คน

ที่แนะนำควรตรวจในกลุ่มเสี่ยงคือ
ตอนตั้งครรภ์ คุณแม่มีประวัติติดเชื้อไวรัส เช่น หัด ซีเอ็มวี เริม
มีประวัติบกพร่องทางการได้ยินในครอบครัว
มีความผิดปกติของรูปศีรษะ รูปหู มีติ่งหรือรูหน้าหู
หลังคลอดเด็กอยู่ ICU แล้วมีการใส่เครื่องช่วยหายใจ
มีประวัติให้ยาบางตัวที่มีพิษต่อหู

เด็กตัวเหลืองมากจนถึงต้องถ่ายเลือด
3. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์และโรค PKU 2
โรคนี้ต้องตรวจทุกคนค่ะ ทุกรพ.จะตรวจเลือดให้ก่อนลูกกลับบ้านอยู่แล้วค่ะ

4. ตรวจตา
(ไม่ได้ทำทุกคน) แต่แนะนำตรวจในกลุ่มเสี่ยง เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อตา

ตรวจสุขภาพเด็ก อายุ 9-12 เดือน ดูอะไรบ้าง?
ตรวจสุขภาพทารก

1. ตรวจความสมบูรณ์ทั่วไป
น้ำหนัก ความยาว เส้นรอบศีรษะ เท้า ขา เสียงปอด เสียงหัวใจ

2. ตรวจคัดกรองพัฒนาการ, ออทิสติก
เพื่อดูพัฒนาการของเจ้าตัวน้อย และตรวจหาความปิดปกติที่อาจเกิดแทรกซ้อน

3. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะซีดโลหิตจาง

4. ตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี
หากว่าเจ้าตัวน้อยยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบีจะได้ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันที
เฉพาะเคสกรณีแม่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้และถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีครบแล้ว ก็มีโอกาส 4 % ที่ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้นและต้องฉีดวัคซีนอีกรอบค่ะ

5. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะตะกั่วเกิน (ตรวจอายุ 9 เดือน-2 ปี)
ตรวจเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น อาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม, ในครอบครัวมีการทำอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับตะกั่ว เช่น เครื่องประดับ ช่างประปา สี เครื่องยนต์ หลอมตะกั่ว กระสุน

6. ตรวจฟันโดยหมอฟัน
โดยทั่วไปแนะนำเมื่ออายุ 1 ปี ค่ะ

ตรวจสุขภาพเด็ก อายุ 3-6 ปี ดูอะไรบ้าง?
ตรวจสุขภาพเด็ก

1. ตรวจความสมบูรณ์ทั่วไป
น้ำหนัก ความยาว เส้นรอบศีรษะ ขา เท้า เสียงปอด เสียงหัวใจ

2. ตรวจคัดกรองพัฒนาการ
เรื่องกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็ก การเรียนรู้ สมาธิ

3. ตรวจวัดความดันโลหิต
เนื่องจากเราสามารถพบภาวะความดันโลหิตสูงในเด็กได้ 1.4-6 % โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น คลอดก่อนกำหนด , โรคหัวใจแต่กำเนิด , มีติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยๆ , มีประวัติโรคไตในครอบครัว

4. ตรวจตา
ถ้าเป็นไปได้ แนะนำตรวจกับคุณหมอตาเด็กเมื่ออายุ 4-6 ปี แม้ไม่มีอาการอะไร คุณหมอตาจะตรวจหาภาวะตาขี้เกียจ ซึ่งพบได้ 2-4% ของเด็ก ตรวจค่าสายตา ตรวจการเห็นสี กล้ามเนื้อตา แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น กะพริบตาบ่อยๆ หยีตาเวลามอง เอียงหัวเวลามอง ควรไปตรวจเลยค่ะ

5. ตรวจฟัน เป็นประจำทุกปี
เพื่อดูว่าเจ้าตัวเล็กมีฟันผุหรือไม่ แปรงฟันถูกวิธีหรือไม่ เพื่อที่คุณหมอจะได้ให้คำแนะนำที่ถูกต้องเพื่อที่เจ้าตัวเล็กจะมีสุขภาพในช่องปากที่ดีและไม่มีฟันผุ


ขอบคุณข้อมูลจาก         พญ.ฐิติมา คุรุพงศ์



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 25 สิงหาคม 2564, 10:34:13 am
ไวรัสตับอักเสบเอและบี ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/04/327077.jpg)
 

ไวรัสตับอักเสบเอและบี ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ สามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อไวรัสหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ตับวาย

การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรคที่ได้ผลเกือบ 100% และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต

 

โรคไวรัสตับอักเสบ คืออะไร

โรคไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับ  จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี  โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ  การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับเสียหาย ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว  หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้

 

ไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A virus; HAV) สามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อไวรัส  โดยเชื้อจะเข้าฝังตัวในลำไส้ แล้วค่อยๆ กระจายไปสู่ตับ จนเกิดการอักเสบของตับหลังจากได้รับเชื้อราว 1-2 สัปดาห์ ส่งผลให้เกิดภาวะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และดีซ่าน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ตับวาย และเสียชีวิตได้

 

สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหรือฉีดวัคซีนป้องกันก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้เช่นกัน

 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรค ที่ได้ผลเกือบ 100%  และภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอจะอยู่ติดตัวไปได้ตลอด  สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มพาลูกๆ ออกไปมีกิจกรรมนอกบ้าน หรือเริ่มเข้าโรงเรียน   อาจได้รับเชื้อจากการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือสัมผัสกับเชื้อได้ง่าย โดยฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน  สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ สามารถรับการฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน โดยสามารถขอคำแนะนำหรือปรึกษาแพทย์

 

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ

ผู้ที่จะเดินทางไปยังสถานที่ ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน

 

ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ

ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ทั้งจากคน สัตว์และสิ่งแวดล้อม เช่น ผู้ดูแลผู้ป่วย หรือผู้ที่ทำงานในบ่อบำบัดน้ำเสีย

ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน

ผู้ที่ใช้ยาเสพติดทุกประเภท

ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง

บุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ

พ่อครัว แม่ครัวที่ต้องปรุงอาหารเป็นประจำ

 

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)  มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus; HBV)  ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายอย่างยิ่ง  หากได้รับเชื้อแล้วไม่ได้รับรักษา อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง  ตับวาย ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อผ่านทางการคลอด การสัมผัสเลือดหรือแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และการใช้อุปกรณ์ที่แหลมคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น  เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด หรือแปรงสีฟัน

 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

อาจเรียกได้ว่าเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งชนิดแรก เนื่องจากสามารถช่วยป้องกันมะเร็งตับ อันเกิดต่อเนื่องจากภาวะไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับถึง 80%  และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับสองของโรคมะเร็งทั้งหมด

 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  ประกอบด้วยโปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg)  ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย  สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด โดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม  หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3  หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน

 

เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  ครบ 3 เข็ม ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายสร้างภูมิคุมกันได้มากถึง  97%  และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ประมาณ 1-2 เดือน  ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี หากยังไม่มีภูมิต้านทาน  ควรฉีดวัคซีนเพิ่มตามคำแนะนำของแพทย์

 

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

ทารกแรกเกิด เด็ก และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด

ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล

ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง

ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต

ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อยๆ

ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น

ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค

ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ มีคู่นอนหลายคน

 

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสแตกต่างกัน   การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบแต่ละสายพันธุ์จะสามารถป้องกันเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ที่ฉีดเท่านั้น ดังนั้นหากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดใดควรเจาะจงชนิดของวัคซีนให้ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีรวมในเข็มเดียวกัน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดจากแพทย์หรือโรงพยาบาลที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก           นพ. ปฏิพัทธ์ ดุรงค์พงศ์เกษม

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 26 สิงหาคม 2564, 11:36:01 am
ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้ 1

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/6936352531012-1.jpg)

 

ลูกไม่เล่นของเล่น –  คิดว่าคุณพ่อคุณแม่หลายบ้านอาจเคยมีประสบการณ์ที่ซื้อของเล่นให้ลูกเล่นด้วยความตั้งใจของพ่อแม่ที่อยากสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกในการเล่น แต่ความหวังพังทลายเมื่อลูกไม่เล่นตามที่เราคาดหวังไว้ วันนี้เรามาไขข้อข้องใจถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การเล่นของเล่นของเด็กๆ ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ลูกไม่ยอมเล่นของเล่นที่ซื้อให้ ชอบเล่นกับอะไรที่ไม่ใช่ของเล่น เป็นเพราะอะไรกันนะ?

 

เชื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนใช้เวลาไม่น้อยหมดไปกับการค้นคว้าเกี่ยวกับของเล่นเด็กใหม่ ๆ ที่อินเทรนด์และคิดว่าดีที่สุด และเหมือนว่าจะเหมาะสมกับการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ของเด็ก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งคือ ของเล่นทั้งหมดถูกทิ้งขว้างอยู่บนพื้น เพราะสิ่งที่ลูกต้องการเล่นด้วยในตอนนั้นกลายเป็น ขวดน้ำ รีโมทคอนโทรล ลังกระดาษ หรือตะกร้าผ้า!

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนค่ะ ว่าสาเหตุที่ลูกชอบเล่นอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ของเล่น อย่างเช่น ขวดน้ำ รีโมท กุญแจ ลังกระดาษ และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเพราะว่าจินตนาการของเด็กเล็กหรือวัยเตาะแตะนั้นมีสูงมากกว่าที่พ่อแม่คิด ไม่ว่าเราหยิบยื่นอะไรให้ หรือพวกเขาคลานต้วมเตี้ยมเดินเตาะแตะไปเจออะไรเข้าพวกเขาจะสามารถจินตนาการในการเล่นสนุกกับสิ่งนั้นๆ ได้เสมอ

 

 

และนี้คือเหตุผลที่เด็กๆ ชอบเล่นกับสิ่งของต่างๆ ต่อไปนี้ที่อยู่ในบ้าน

 
กุญแจ  ด้วยความแวววาว และ ขนาดที่พอๆ กับของเล่น เวลาหฃ่นพื้นมีเสียงที่ไพเราะ และสามารถเล่นสนุกกับการซ่อนหาในที่เล็กๆ เช่น กระเป๋าได้จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเจ้าตัวเล็กถึงได้ชอบกุญแจ


รีโมทคอนโทรล ปุ่มนุ่มๆ หลากสีสันที่แสดงไฟกะพริบเมื่อกด ทำให้รีโมทคอนโทรลเป็นของเล่นที่น่าพึงพอใจของเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามารถเปิดและปิดสิ่งอื่นๆ ได้! ยิ่งสร้างความรู้สึกมหัศจรรย์ขั้นสุดให้กับเด็กๆ ได้มาก
 

กระดาษทิชชู่ การดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องสร้างความอัศจรรย์ใจให้เด็กๆ เมื่อพวกเขาพบว่ายิ่งดึงยิ่งก็ยิ่งมีอีกชิ้นหนึ่งโผล่ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แถมทิชชู่ยังนิ่มพอที่จะฉีกเอาเข้าปากได้


ขวดน้ำ ขวดน้ำเป็นเหมือนของวิเศษสำหรับเด็กๆ ยิ่งเป็นขวดที่มีน้ำอยู่ข้างในไม่ต้องพูดถึง ด้วยลักษณะของขวดใส่ๆ บีบแล้วมีเสียงกร็อบแกร๊บ ก็เพียงพอที่จะสะกดให้เด็กสนใจได้นานหลายนาที


พาชนะต่างๆ  ช้อน ไม้พาย ชาม หม้อ และกระทะ เป็นของเล่นคลาสสิกที่กลายเป็นเครื่องดนตรีแสนสนุกได้ แค่เอามือเคาะๆ จับแล้วตีๆ ก็มีเสียงประหลาดเกิดขึ้นได้แล้ว


ลังใส่ของ ด้วยกล่องที่เต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ มากมาย ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับของเล่นใหม่มากมายมากองอยู่ตรงหน้า เป็นธรรมดาที่จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นให้ลูกได้มาก และมักจะจบด้วยการ รื้อค้น เขวี้ยงปา ยิ่งมีเสียงต่างๆ เด็กๆ ก็จะยิ่งหัวเราะชอบใจ


นอกจากนี้ สาเหตุที่ลูกไม่ยอมเล่นของเล่นที่เราซื้อให้อาจมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่


มีตัวเลือกมากเกินไป
การมีของเล่นมากเกินไป ทำให้เด็กๆ ถูกกระตุ้นเกินขอบเขต อาจทำให้เด็กสนใจที่จะเล่นน้อยลง เพราะหมดพลังไปกับการต้องใช้สมองในการคิดไตร่ตรองมากเกินไปที่จะเริ่มต้นเล่นอะไรสักอย่าง นอกจากนี้การมีของเล่นมากเกินไปจะทำให้เด็กไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ทำให้เปลี่ยนความสนใจไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วหรือละความสนใจได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะมีของเล่นเพียงชิ้นเดียว เราก็สามารถหาวิธีการต่างๆ ให้ลูกเล่นสนุกได้ ไม่ว่าจะเป็นเศษไม้ชิ้นเดียว หรือฝากาน้ำเก่าๆ สำหรับเด็กเล็กแล้วอาจเป็นของเล่นที่สนุกสนานกว่าของเล่นราคาแพงตามห้างสรรพสินค้าเสียอีก


พื้นที่ในการเล่นไม่เพียงพอ
การมีพื้นที่โล่งๆ สำคัญอย่างยิ่งในการที่เด็กๆ จะมีพื้นที่ในการจินตนาการ สร้างสรรค์ และสำรวจ ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ แค่พื้นที่ที่พวกเขามีอิสระเพียงพอในการครอบครองและสามารถจัดแจงย้ายของเล่นไปมาเพื่อสร้างหอคอยหรือเมืองต่างๆ  พยายามรักษาพื้นที่เปิดโล่งในบ้านอย่างน้อยหนึ่งจุดให้ปลอดโปร่งเปรียบเหมือนดั่งกระดาษแผ่นใหม่ที่รองานศิลปะ หากคุณไม่มีพื้นที่ที่คิดว่าเหมาะสมในบ้าน ให้ลองสร้างพื้นที่เปิดโล่งให้มากขึ้นในห้องเพื่อส่งเสริมการเล่นปลายเปิดให้ลูก


การมีส่วนร่วมของพ่อแม่
บางครั้งพ่อแม่ไม่ได้มีส่วนร่วมเพียงพอ หรือในทางกลับกัน อาจมีส่วนร่วมมากเกินไป จริงอยู่ที่เราเป็นเพื่อนเล่นคนแรกของลูก แต่เราต้องให้พื้นที่พวกเขาในการเรียนรู้และเติบโตด้วย ควรให้เด็กๆได้ใช้เวลาสักสองสามนาทีในการมองหาและเล่นของเล่นด้วยตัวเองในโอกาสต่างๆ ก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยหรือร่วมเล่นด้วยพวกเขาจะมีโอกาสได้เรียนรู้ที่จะเล่นด้วยตัวเอง เมื่อลูกเรียกร้องให้เรามีส่วนร่วมก็เป็นโอกาสที่เราจะสร้างบทสนทนากับลูกเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเล่น สนับสนุนให้ลูกอธิบายกระบวนการคิดของพวกเขาโดยไม่ขัดขวางจินตนาการ


สมองของเด็กเติบโตอย่างรวดเร็ว
เมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ สมองของพวกเขามีถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของสมองผู้ใหญ่ ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ลูกของคุณอาจเบื่อของเล่นที่เราเพิ่งซื้อให้ใหม่หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน หากเกิดเหตุการณ์นี้ การใช้วิธีหมุนเวียนของเล่นจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ค่ะ


ของเล่นไม่เหมาะสมกับวัยของลูก
เป็นไปได้ว่าของเล่นที่หยิบยื่นให้อาจยังไม่เหมาะกับวัยหรือพัฒนาการของลูก ความเหมาะสมกับวัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถตอบโจทย์ได้ว่าเด็กจะชอบของเล่นมากน้อยแค่ไหน ทางที่ดีควรพิจารณาช่วงอายุที่ผู้ผลิตแนะนำเพื่อเป็นแนวทางแต่บางครั้งก็ไม่ต้องยึดติดกับตัวเลขเสมอไป หากเรารู้จักความสามารถและพัฒนาการของลูกเป็นอย่างดี  อย่างไรก็ตามการเลือกของเล่นให้ลูกต้องคำนึงถึงพัฒนาการเป็นหลัก ต้องรู้ว่าลูกพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับของเล่นชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้แล้วหรือยัง ทางที่ดีพ่อแม่ควรเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะต่างๆ ของเด็กเล็กที่พัฒนาในแต่ละช่วงวัย ก่อนการช้อปปิ้งของเล่นในครั้งต่อไป

 



ขอบคุณข้อมูลจาก amarinbabyandkids.com

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 27 สิงหาคม 2564, 10:44:00 am
ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้ 2


ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้ 2


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
 
(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/76D92477-1E7F-4730-8D07-11CCDC2A8DD4.jpeg)

วิธีรับมือเมื่อลูกไม่เล่นของเล่น

เล่นให้ดู เมื่อลูกของคุณได้ของเล่นชิ้นใหม่ ให้ทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่างว่าเล่นอย่างไร คุณควรให้คำแนะนำและความช่วยเหลือแบบใช้มือ เพื่อสอนและส่งเสริมให้ลูกของคุณเล่นกับของเล่นใหม่อย่างเหมาะสม

 

ให้เวลาลูก หากลูกของคุณไม่สนใจของเล่นทันทีหลังจากที่คุณแนะนำมัน หรือเสียสมาธิขณะเล่น ลองให้เวลากับลูกมากขึ้น เพื่อสำรวจและค้นพบของเล่นในแบบของตัวเองแทนในแบบที่คุณต้องการให้เป็น  การปล่อยให้เด็กพัฒนาความสนใจในบางสิ่งบางอย่างในเวลาของตนเองจะส่งผลให้มีการเล่นที่เป็นอิสระมากขึ้นและการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

ชื่นชม เมื่อลูกของคุณเล่นกับของเล่นอย่างเหมาะสม ควรชื่นชมและบอกให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาทำได้ดี ตัวอย่าง เช่น  ต่อบล็อกเก่งจัง ทำได้ดีมากลูก

 

สร้างเรื่องราว พ่อแม่สามารถสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีที่เควรและไม่ควรเล่นกับของเล่น สอนวิธีการที่เหมาะสมในการเล่นกับของเล่นและเหตุผลที่เราควรเล่นกับของเล่นแต่ละชิ้นให้ลูกได้เข้าใจ

 

ผลัดเปลี่ยนของเล่น หากลูกของคุณยังคงเพิกเฉยต่อของเล่นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ให้นำของเล่นออกจากมุมของเล่น และเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าหรือที่เก็บของที่ลูกของคุณไม่เห็นมัน แล้วลองเสนอให้ลูกเล่นอีกครั้งในสองสามสัปดาห์ถัดไป คุณอาจพบว่าของเล่นที่ก่อนหน้านี้ถูกละเลยอาจกลายเป็นของเล่นชิ้นโปรดชิ้นใหม่ได้ โดยที่ลูกของคุณได้พัฒนาทักษะใหม่ๆ และสามารถรับมือกับความท้าทายที่ของเล่นนำเสนอได้ดียิ่งขึ้น วิธีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของเล่นนี้ช่วยในการสร้างของเล่นใหม่อีกครั้ง ช่วยยืดอายุของของเล่น และช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้จากของเล่นแต่ละชิ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเล่นพร้อมแล้ว

 

เข้าใจเมื่อลูกไม่พร้อม เด็กบางคนอาจยังไม่พร้อมสำหรับพัฒนาการที่จะเล่นกับของเล่นชิ้นใดชิ้นหนึ่ง แม้ว่าผู้ผลิตจะจำกัดอายุไว้ก็ตาม  ของเล่นจะสนุกยิ่งขึ้นสำหรับทั้งคุณและลูก เมื่อลูกสามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกของคุณเล่นของเล่นได้อย่างปลอดภัย อย่าลืมทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง หมั่นให้ลูกฝึกฝน และชมเชยเสมอ และถ้าจำเป็นอย่าลังเลที่จะนำของเล่นออกไปเก็บไว้จนกว่าลูกของคุณจะสามารถเล่นกับมันได้อย่างเหมาะสม

 

แม้การเลือกของเล่นสำหรับเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเด็กแต่ละคนมีความสนใจที่แตกต่างกัน ไปบางครั้งของเล่นที่พ่อแม่เห็นว่าเหมาะกับลูก เด็กอาจไม่สนใจ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป หากเรารู้วิธีในการเลือกของเล่นที่เหมาะสมให้กับลูกด้วยความเข้าใจในพัฒนาการและความต้องการของลูกตลอดจนทักษะต่างๆ ที่ลูกมี เมื่อลูกสนุกไปกับของเล่นที่อยู่ตรงหน้า สามารถเล่นได้อย่างถูกวิธี ก็จะเป็นการเสริมสร้างทักษะความฉลาดที่รอบด้าน

 

คุณพ่อคุณแม่ ลองดูว่าเจ้าตัวน้อยที่บ้านเป็นเพราะอะไรถึงไม่ค่อยชอบเล่นของเล่นที่ซื้อให้แล้วลองหาสาเหตุที่ได้กล่าวไปข้างต้น คุณพ่อคุณแม่ก็นำมาปรับใช้กับเจ้าตัวน้อยดูค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวน้อยที่เล่นของเล่นอย่างสนุกสนานไปพร้อมๆกับคุณพ่อคุณแม่อย่างมีความสุขค่ะ

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก amarinbabyandkids.com

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 30 สิงหาคม 2564, 12:07:14 pm
8 ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทำได้ตอนลูกหลับ

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/2a-540x350-1.jpg)

คุณแม่คนไหนที่อยากจะผอมแบบดูดี นอกจากจะต้องคอยหมั่นออกกำลังกายเพื่อเบิร์นไขมันแล้ว การออกกำลังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อก็เป็นอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันนะครับ เพราะนอกจากจะช่วยกระชับรูปร่างให้ดูสมส่วนแล้ว การกระชับกล้ามเนื้อยังช่วยลดอาการผิวเหี่ยวและหย่อยคล้อยหลังคลอดบุตร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คุณแม่ๆ หลายคนหันมาใส่ใจการออกกำลังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อกันมากขึ้น ซึ่งการออกกำลังเพื่อกระชับกล่ามเนื้อนั้นทำได้หลายวิธีนะครับ เช่น การเล่นโยคะ ก็ถือเป็นการออกกำลังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงการเล่นโยคะยังถือเป็นการออกกำลังเพื่อลดไขมันได้ด้วยค่ะ เรียกได้ว่า มีประโยชน์ถึง 2 ต่อเลยทีเดียว

          8 ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทำได้ตอนลูกหลับ แค่ 30 นาที สุขภาพดีๆจะกลับคืนมา แต่ต้องเซฟร่างกายของตัวเองโดยการหาอุปกรณ์รองรับการออกกำลังกาย เช่น เสื่อโยคะ เพราะเสื่อโยคะจะมีความยืดหยุ่นในตัวเองที่ค่อนข้างสูง ทำให้สามารถช่วยซับและกระจายแรงกดได้เป็นอย่างดี สามารถมากถ่ายเทน้ำหนักหรือกดน้ำหนักลงมาที่เสื่อ เสื่อก็จะทำหน้าที่คอยซัพพอร์ตและกระจายแรงกดลงสู่พื้นทำให้ผู้เล่นลดโอกาสการได้รับบาดเจ็บตามส่วนต่างๆ อย่างเช่น เข่า ขอศอก หลัง สะโพกหรือหัวเขาได้ด้วยนะคะ


1. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าสวอต (Squat)
 วิธีทำท่าสควอช (Squat)   

- ยืนตัวตรง แยกขาออกประมาณช่วงหัวไหล่
- ย่อตัวลงไปคล้ายๆ กับกำลังจะนั่งบนเก้าอี้ เข่าต้องไม่เลยปลายเท้า
- เกร็งหน้าท้องไว้ด้วย จุดส้นเท้าเป็นจุดที่รับน้ำหนัก
- นับ 15-20 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต ระหว่างเซ็ต พักประมาณ 1 นาที
- ทำวันละ 4-5 เซ็ต


2. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าเกร็งหน้าท้อง (V Ups)
 วิธีทำท่าเกร็งหน้าท้อง (V Ups)

- นอนหงาย ตั้งศอกกับพื้น ฝ่ามือวางข้างลำตัว จากนั้นเกร็งหน้าท้อง
- พร้อมยกขาทั้งสองข้างขึ้นจากพื้น
- ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 15 ครั้ง


3. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าตรีโกณ (Triangle Pose)
 วิธีทำท่าตรีโกณ (Triangle Pose)

- ยืนตัวตรง โดยให้มือทั้ง 2 ประสานกันไว้ หายใจเข้าลึกๆ
- หายใจออกแล้ววางมือขวาลงกับพื้น โดยให้ขนานกับเท้าซ้าย ส่วนมือซ้ายเหยียดชี้ขึ้นฟ้าโดยให้ขนานกับหัวไหล่
- แหงนหน้าขึ้นมองไปยังที่ปลายนิ้วมือข้างซ้าย พยายามเปิดอกเปิดไหล่หรือยืดหลังให้ตรง ให้ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง มากกว่าลงน้ำหนักไปที่ฝ่ามือขวาที่วางราบกับพื้น
- ทำค้างไว้ 30-60 วินาที โดยหายใจเข้าและหายออกตามปกติ จากนั้นก็กลับมาสู่ท่ายืนตรงเหมือนตอนเริ่มต้นแล้วทำสลับข้าง


4. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าสะพาน (Bridge Pose)
วิธีทำท่าสะพาน (Bridge Pose)

- หายใจออกนอนหงายโดย งอเข่าทั้งสองข้าง ดึงเท้าทั้งสองข้างมาชิดที่ก้นผ่าเท้าติดพื้น
- หายใจเข้าวางมือทั้งสองข้างแนบพื้น นิ้วชี้มาที่ไหล่ กดฝ่ามือ เหยียดข้อศอก ยกลำตัวขึ้น
- ขณะที่หายใจออกเลื่อนเท้าทั้งสองข้างเข้าหาลำตัว พร้อมกับยกลำตัวและสะโพกสูงจากพื้น หายใจเข้าออก 2-3 ครั้ง
- ยกลำตัวสูงขึ้นในท่าสะพานโค้ง แอ่นเอว ลำตัวและหลังให้มากที่สุด ศีรษะหงายไปทางหลัง
- ทำค้างไว้ 10-15 วินาทีทำซ้ำ 3-10 ครั้ง


5. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่านั่งก้มต้ว (Forward Bend)
วิธีทำท่านั่งก้มต้ว (Forward Bend)

- นั่งหลังตรง กางขาเป็นวงแหวน ให้ฝ่าเท้าหันเข้าหากัน
- ก้มตัวไปด้านหน้า ให้ศีรษะก้มลงติดพื้นมากที่สุด แขนเหยียดตรงไปด้านหน้า
 - ค้างท่าไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง


6. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าก้มหลัง (Downward-Facing Dog)
วิธีทำท่าก้มหลัง (Downward-Facing Dog)

-  โค้งลำตัวราบกับเสื่อโยคะและวางมือลงบนเสื่อโยคะในลักษณะที่มือวางล้ำช่วงไหล่พอประมาณ
- ยกลำตัวและก้นขึ้น พยายามให้หลัง ขาและแขนเหยียดตรงที่สุด
- สูดลมหายใจเข้า-ออก 5-10 ครั้ง
- กลับสู่ท่าเริ่มต้น และทำซ้ำอีกประมาณ 5-7 เซต


7. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าดันพื้น (Push up)
วิธีทำท่าดันพื้น (Push up)

- นอนคว่ำ วางมือ ข้างชายโครงในท่าฝ่ามือดันพื้น งอข้อศอก เท้าทั้งสองชิดกัน ปลายนิ้วยันบนพื้น
- หายใจเข้าเหยียดข้อศอกให้ตึง ลำตัวเหยียดตรง คอยืดขึ้น ส่วนคอไหล่สะโพกและเท้าอยู่ในแนวเดียวกัน
- ค้างท่านี้ไว้ 30 วินาที -1 นาทีแล้วคลายท่า


8. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าแอ่นหลัง (Cobra Pose)
วิธีทำท่าแอ่นหลัง (Cobra Pose)

- นอนคว่ำ
- มือวางข้างอก ข้อศอกแนบลำตัว
- กดดันขา หน้าแข้ง หลังเท้า ราบกับพื้น
- ยกแผ่นอกขึ้น เหยียดลำตัว ยืดคอ เงยคาง


ท่าออกกำลังกายแต่ละท่าเป็นท่าง่ายๆ ให้คุณแม่ออกกำลังกายในช่วงที่เจ้าตัวน้อยนอนหลับ และยังช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงกลับมามีหุ่นฟิตและเฟิร์มได้เร็วขึ้นค่ะ แถมยังช่วยลดความเครียดเพราะการออกกำลังกายอีกด้วยค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจาก            atomubypsw.com




สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 02 กันยายน 2564, 11:15:13 am
การป้องกันไวรัสโคโรน่า สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

การป้องกันไวรัสโคโรน่า สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

 (https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่



อาการของผู้ที่เป็นโรคนี้

 

อาการที่แสดงออกของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลยแต่สามารถแพร่เชื้อได้ บางรายมีอาการไอ บางรายมีไข้ และไอมีเสมหะ ผู้สูงวัยอาจจะมีไข้และหายใจเร็ว หอบ จากปอดบวม และเมื่อป่วยรุนแรง จะหายใจเร็ว หอบ จนเสียชีวิตได้ จากข้อมูลที่มี พบว่าเด็กก็พบมีการติดเชื้อไวรัสนี้ได้ แต่อาการจะไม่รุนแรงเหมือนกับผู้สูงอายุ

 

การแพร่เชื้อ สามารถติดต่อได้โดยทางใดบ้าง

 

ผ่านทางฝอยละออง โดยฝอยละอองขนาดใหญ่ (droplet) และฝอยละอองขนาดเล็ก (เล็กกว่า 5 ไมครอนเรียกว่า aerosol) สูดเข้าไปในทางเดินหายใจ ถ้าอยู่ใกล้ผู้ที่ป่วยในระยะ 1-2 เมตรจะติดเชื้อจากการสูดฝอยละอองขนาดใหญ่และฝอยละอองขนาดเล็กจากการไอจามรดกันโดยตรง
 

แพร่เชื้อโดยการสัมผัส
เช่น การจับมือกันหรือมือจับของใช้สาธารณะร่วมกัน แล้วมา จับบริเวณใบหน้าของตนเอง
 

การแพร่ทางอุจจาระ อาจมีความเป็นไปได้เพราะเชื้อออกมาทางอุจจาระได้ด้วย ดังนั้นเวลากดชักโครก จึงควรปิดฝาชักโครก และล้างมือทุกครั้ง
 

วิธีป้องกันตัวคุณแม่และเจ้าตัวน้อยจากไวรัส COVID-19

 

1.อยู่ห่างจากผู้ป่วยหรือผู้ที่มีอาการไออย่างน้อย 2 เมตร เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสูดฝอยละอองขนาดใหญ่
 

2.ปิดปากและจมูกขณะไอหรือจาม โดยไอหรือจามลงใส่ข้อพับแขนด้านในหรือบนกระดาษทิชชู และทิ้งกระดาษที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิด และล้างมือให้สะอาด
 

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสเยื่อบุบริเวณใบหน้า (ตา จมูก ปาก) ด้วยมือที่ไม่ได้ล้าง
 

4.ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือแอลกอฮอล์เจล (อย่างน้อย 60 %แอลกอฮอล์) อย่างน้อย 20 วินาที หลังไอ จาม, ก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้า, หลังเข้าห้องน้า, ก่อนรับประทานอาหาร และหลังการจับหรือใช้ของสาธารณะร่วมกัน
 

5.การสวมหน้ากากอนามัยแบบทั่วไปเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อจากฝอยละอองขนาดใหญ่เมื่อเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในที่ชุมชน เช่น บนรถโดยสาร และสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อมีอาการไม่สบาย
 

6.หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ชุมนุมที่มีคนเป็นจำนวนมาก
 

7.รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง
 

8.หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาด
 

9.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการคล้ายหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
 

10.ไปพบแพทย์หากมีไข้ ไอ หรือรู้สึกหายใจลำบาก

 

สารทำความสะอาดที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนาได้ คือ

 

1.70 % ethyl alcohol เช่น สเปรย์ และ เจลล้างมือ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มากกว่า 70% ขึ้นไป
 

2.Sodium hypochlorite ( 0.1-0.5 %) สารฟอกขาว หรือ น้ำยาทำความสะอาดอย่าง Clorox และ Haiter
 

3.1 % povido iodine หรือ น้ำยาทำลายเชื้ออย่าง ไอโอดีน และ เบตาดีน
 

4.0.12 % Chloroxylenol หรือ สารฆ่าเชื้อที่อยู่ใน Dettol เฉพาะสูตรที่ใช้กับผิวหนัง และล้างแผลได้เท่านั้น
 

เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ยังไม่มียารักษาและวัคซีน คุณแม่คุณพ่อและเจ้าตัวน้อยจึงควรดูและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดในช่วงที่ยังมีการระบาดของไวรัสนี้อยู่ เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ และเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของคุณแม่ เจ้าตัวน้อยและทุกคนในครอบครัวค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นล้างมื้อบ่อยๆ

 

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณหมอแอน พญ.ปิยะรัตน์ เลิศบรรณพงษ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 03 กันยายน 2564, 11:02:32 am
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เกี่ยวกับ โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เพื่อป้องกันเจ้าตัวน้อยให้ปลอดภัย


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/99291507_2920186494724579_9206728832424345600_n.jpg)

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “การระบาดใหญ่” หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคของโลก จากการแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น (Wuhan) มณฑลหูเป่ย (Hubei) ประเทศจีน เริ่มจากช่วงปลายปี ค.ศ. 2019 จนถึงปัจจุบัน



 

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 ‘สายพันธุ์ใหม่’ คืออะไร

Severe acute respiratory syndrome coronavirus (SARs-CoV-2) คือ เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่

 

ไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสชนิดใหม่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับตระกูลของไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง รวมทั้งโรคหวัดธรรมดาบางประเภท

 

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 แพร่กระจายได้อย่างไร


เชื้อไวรัสถ่ายทอดผ่านการสัมผัสโดยตรงกับฝอยละออง(Droplet) จากลมหายใจของผู้ติดเชื้อ (ที่เกิดจากการไอและจาม) การสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน ไวรัส COVID-19 อาจอยู่รอดบนพื้นผิวเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ก็ถูกทำลายได้ด้วยสารฆ่าเชื้อทั่วไป

 

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 มีอาการอย่างไร

องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า โควิด-19 จะมีอาการเริ่มแรกคือ มีไข้ ตามมาด้วยอาการไอแห้งๆ หลังจากนั้นราว 1 สัปดาห์จะมีปัญหาหายใจติดขัด ผู้ป่วยอาการหนักจะมีอาการปอดบวมอักเสบร่วมด้วย หากอาการรุนแรงมากอาจทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว

 

ขณะที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า หากผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงการระบาดของโรคมีอาการไข้ ร่วมกับอาการทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพบแพทย์ทันที

 

อาการดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคหวัดธรรมดาซึ่งพบได้บ่อยกว่าโควิด-19 และนี่คือเหตุผลที่จะต้องทำการทดสอบเพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ทั้งนี้ โรคเหล่านี้ใช้หลักเดียวกันในการป้องกัน นั่นก็คือการล้างมือบ่อยๆ และดูแลสุขอนามัยทางเดินหายใจ (ไอ-จามใส่ข้อพับแขนด้านใน หรือบนกระดาษทิชชูและทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด)

 

 

Check list อาการแบบไหน เข้าข่ายเสี่ยงโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

ข้อควรปฏิบัติ 6 ประการ เพื่อป้องกันตนเองและครอบครัวจากการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19


1.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่
2.ทำความสะอาดด้วยเจลล้างมือที่ผสมแอลกอฮอล์
3.ปิดปากและจมูกขณะไอหรือจาม โดยไอหรือจามลงใส่ข้อพับแขนด้านในหรือบนกระดาษทิชชู
4.หลีกเลี่ยงการสัมผัส ตา จมูก ปาก ของตนเอง
5.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการคล้ายหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
6.ฆ่าเชื้อสิ่งของที่อยู่ในบ้านหรือบริเวณที่จับบ่อยๆสม่ำเสมอ
 

ข้อควรประปฎิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 มีผลกระทบต่อเด็กหรือไม่

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นไวรัสชนิดใหม่ที่ยังมีข้อมูลไม่มากพอถึงผลกระทบของเชื้อไวรัสชนิดนี้ที่มีต่อเด็กหรือสตรีมีครรภ์ แต่จนถึงปัจจุบันนี้ก็มีรายงานการติดเชื้อโควิด-19ในเด็กเพียงไม่กี่ราย ทั้งนี้มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยที่เป็นโรคแทรกซ้อนอยู่ก่อนแล้ว

 

ช่วงนี้อาจะเป็นช่วงปิดเทอมอาจไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมข้างนอกได้ แต่อย่างที่ทราบกันดีกว่าการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 ยังไม่สามารถสรุปได้ 100% ว่า คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์, เด็ก มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสมากไปกว่า “คนทั่วไป” อาจจะต้องหยุดกิจกรรมนอกบ้านไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และเด็กไปก่อน เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะหากิจกรรมหรือสิ่งที่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการเหมือนได้เล่นนอกบ้านหรือกิจกรรมต่างๆในช่วงวิกฤตินี้ เช่น ของเล่นเสริมความรู้ ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเล่นเสริมสร้างประสาทสัมผัสทั้ง5 ของเล่นเสริมสมาธิ

 

ควรทำอย่างไรหากลูกมีอาการของโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

คุณควรไปพบแพทย์ อย่างไรก็ดี ช่วงนี้เป็นฤดูไข้หวัดใหญ่ในซีกโลกเหนือ และอาการของโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เช่นไอหรือมีไข้นั้นคล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้หวัดธรรมดาหรือโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งพบบ่อยกว่ามาก และเช่นเดียวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เช่นไข้หวัดใหญ่

 

เมื่อลูกมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ และหลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่สาธารณะ (ที่ทำงาน โรงเรียน ขนส่งสาธารณะ) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

 

ความเสี่ยงในการเป็นโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19


ถ้าติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 กลุ่มคนที่มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่า ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และอาจจะรวมถึงผู้ชายด้วย

การวิเคราะห์ขนาดใหญ่ครั้งแรกในผู้ติดเชื้อมากกว่า 44,000 ในประเทศจีน พบว่า อัตราการเสียชีวิตในผู้สูงอายุสูงกว่าคนวัยกลางคนถึง 10 เท่า

– อัตราการเสียชีวิตในคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ต่ำที่สุด โดยมีผู้เสียชีวิต 8 คนในจำนวนผู้ติดเชื้อ 4,500 คน

– ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาในการหายใจ มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนปกติอย่างน้อย 5 เท่า

– ผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

 

วิธีป้องกันโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 อย่างไรได้บ้าง?

ควรกินร้อน ช้อนตัวเอง กินอาหารปรุงสุก ล้างมือบ่อยๆ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนแออัด หรือหากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกที่มีคนพลุกพล่าน พยายามยืนห่าง 2 เมตร และควรสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา

 

วิธีป้องกันโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงและได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ซึ่งหลายหน่วยงาน ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย มีการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลเพื่อรับมือและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์มีความสุ่มเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป เพราะอยู่ในพื่นที่เสี่ยงกับผู้ป่วยและมีการใกล้ชิดกับผู้ที่ไอ จามโดยตรง

 

ดังนั้นการหาความรู้และความเข้าใจต่อการระบาดโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 จึงมีความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อและเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกจนเกินไป จนเกิดกระแสการต่อต้านผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อโดยเฉพาะชาวจีนและผู้ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีเชื้อไวรัสดังกล่าว

 

ทั้งนี้การป้องกันตนเอง เช่น การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสวมใส่หน้ากากอนามัยก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ และติดอาวุธทางความคิดเพื่อสร้างความเข้าใจและไม่ตื่นตระหนกในสถานการณ์ปัจจุบันจึงมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

 

อย่าลืมสังเกตตัวเองและคนรอบข้าง หากท่านใดมีอาการมีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา, ไอ เจ็บคอ, น้ำมูกไหล, หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก

หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ด่วนค่ะ

 

 

 

ขอบคุณบทความจาก             UNICEF

 

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

 
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 06 กันยายน 2564, 12:38:20 pm
5 ข้อดี ของการกอดเจ้าตัวน้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความผูกพันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อย

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

การกอดเจ้าตัวน้อยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้ทั้งผู้ให้และผู้รับมีความสุขมากขึ้น เพราะการกอดไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา คุณแม่คุณพ่อจะรับรู้ความรู้สึกนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการกอดเจ้าตัวน้อยแบบไหน ทั้งกอดแบบชื่นชมยินดี กอดปลอบโยน รวมทั้งการกอดลูกแนบอกเป็นครั้งแรก


(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/My-Everyday-Bamboo-Burp-Nurse-and-My-Cozy-Bamboo-Blanket_with-Baby.png)
 

การกอดเจ้าตัวน้อยอย่างสม่ำเสมอ มีมนต์วิเศษอย่างหนึ่ง คือแค่กอดกันแน่นๆ เสียงจังหวะหัวใจของแม่ที่แสนคุ้นเคยจะขับกล่อมให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกผ่อนคลาย หลายๆครอบครัว มักจะไม่ค่อยแสดงออกถึงความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อลูกด้วยการโอบกอด แต่ปัจจุบันพ่อแม่รุ่นใหม่เริ่มแสดงออกความรักต่อลูกด้วยการกอดลูกมากขึ้น การกอดทารกอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ลูกอยู่ในวัยแรกเกิดจนเขาเติบโตขึ้น จะส่งผลดีให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กอย่างไร วันนี้้น้องอะตอมมุมีข้อดีของ การกอดเจ้าตัวน้อยมาฝากกันค่ะ

 

1.การกอดเจ้าตัวน้อยตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาลืมตาดูโลก

นับตั้งแต่เจ้าตัวน้อยออกมาลืมตาดูโลก เขาต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากระหว่างโลกที่เขาอยู่มา 9 เดือน (ในท้องคุณแม่) กับโลกภายนอกที่ทั้งสว่างกว่า อุณหภูมิที่ไม่คงที่หรือเย็นเกินไป ทำให้เจ้าตัวน้อยกลัว นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมทารกแรกเกิดจึงร้องไห้เสียงดังและจะเงียบลงเมื่อได้รับความอบอุ่นและการโอบกอดของคุณแม่คุณพ่อ

การกอดเจ้าตัวน้อยและสัมผัสลูกตั้งแต่แรกเกิด แม้ลูกจะยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนกอดเขา แต่การกอดลูกเป็นการช่วยให้ทารกรู้สึกอุ่นสบายและมั่นคงปลอดภัยมากขึ้นหลังจากต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขณะคลอด

 

2.การกอดทารกในช่วง 6 เดือนแรก

ในช่วงเดือนแรกๆ สายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับคุณพ่อคุณแม่จะเริ่มถักทอมากขึ้น ยิ่งถ้าเป็นลูกคนแรกด้วย คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เชื่อได้เลยว่าคงจะเห่อลูกแน่ๆ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นรูปแบบความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างแม่กับลูก ซึ่งหากเด็กที่ได้รับความผูกพันทางอารมณ์อย่างดีตั้งแต่แรกเกิด จะส่งผลต่อการพัฒนาการทางอารมณ์ของลูกเมื่อเขาเติบโตขึ้น เด็กที่มีความผูกพันทางอารมณ์ที่ดีกับคุณแม่ตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเขาเติบโตขึ้น พัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเขาจะดีกว่า เขาจะเป็นเด็กร่าเริง และมีภาวะทางอารมณ์ที่ดีกว่า

การกอดทารกในช่วงแรกเกิดถึง 6 เดือนแรกนั้น คุณแม่จะโอบกอดลูกทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งผ่านการให้นมลูก โปรดจำไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่เจ้าตัวน้อยกำลังดูดนมจากอกของคุณแม่นั้น หากคุณแม่พูดคุยและสัมผัสตัวเขา แสดงออกว่าคุณรักเขามากแค่ไหน ทารกน้อยจะสามารถรับรู้และสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นได้ และสายสัมพันธ์ของคุณแม่กับลูกจะทวีความแน่นแฟ้นมากขึ้น และส่งผลให้พัฒนาการด้านอารมณ์ของลูกจะดีขึ้นด้วย

 

3.การกอดทารกในช่วง 7 เดือน ถึง 1 ขวบครึ่ง

ในช่วงที่ลูกอายุ 7 เดือนเป็นต้นไป ทุกสิ่งรอบตัวของเขาจะเป็นตัวกระตุ้นความสนใจของเขาได้เป็นอย่างดี ลูกจะพยายามหยิบจับ คว้า ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง และแน่นอนว่าเขาจะเริ่มเล่น ยิ้ม หัวเราะกับคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น ยิ่งพอถึงวัยที่เขาเริ่มนั่ง, ลุกขึ้นเดิน ทุกย่างก้าวของการพัฒนาการของเขา หากคุณพ่อคุณแม่คอยอยู่ข้างๆ เขา การกอดทารกอย่างสม่ำเสมอ คอยให้กำลังใจและชื่นชมในความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของลูก ลูกจะเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีความมั่นใจและมองโลกในแง่ดี เป็นเด็กที่มีภาวะอารมณ์ที่ดี

ทารกที่ได้รับการกอดอย่างสม่ำเสมอ จะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายและภาวะทางด้านอารมณ์จะดีกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยคนอื่น (เช่นพี่เลี้ยง) ซึ่งบ่อยครั้งจะเห็นว่า เด็กที่เลี้ยงโดยผู้อื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่มักจะมีภาวะทางอารมณ์ไม่ดีนัก

 

4.การกอดทารกหลัง 1 ขวบครึ่ง – 3 ขวบ

หากคุณแม่ได้กอดเจ้าตัวน้อยมาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่แรก เมื่อลูกเข้าสู่วัยนี้ เขาก็ยังคงอยากให้คุณกอด ให้หอมเขาเหมือนเดิม แต่หากตลอดเวลาคุณแทบจะไม่เคยโอบกอดเขา ไม่เคยหอมเขา แล้วจะมาโอบกอดเขา เขาอาจจะไม่ยอมให้คุณโอบกอดเขาแล้ว เนื่องจากว่าเด็กในวัยนี้จะเริ่มสนใจโลกภายนอกมากขึ้น และเขาก็ไม่เคยได้รับความผูกพันที่ดีจากพ่อแม่ เขาจึงสนใจสิ่งรอบตัวมากกว่าพ่อแม่

แต่ถ้าลูกเติบโตมาพร้อมกับความผูกพัน การกอดทารกนั้น จะเป็นความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อเขา แน่นอนว่าเขาจะเป็นเด็กที่สนใจในสิ่งรอบตัวเช่นกัน แต่เขาจะเป็นเด็กที่มั่นใจเพราะรู้ว่าคุณอยู่เคียงข้างเขาตลอด ลูกจึงเติบโตเป็นเด็กที่มีทัศนะคติที่ดี อารมณ์ดี และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง

 

5.การกอดทำให้เจ้าตัวน้อยรู้วิธีแสดงความรัก
เมื่อลูกได้รับการกอด เขาก็จะเชื่อมโยงได้เองว่าการกอดสัมพันธ์กับความรักที่เขาสัมผัสได้ แล้วเขาจะเรียนรู้เองว่า การกอดก็เป็นวิธีแสดงความรักที่เขาจะบอกคุณได้เช่นกัน ยังจำได้ไหมคะ ครั้งแรกที่เจ้าตัวน้อยยื่นมือโผเข้าหาคุณ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ

 

ยังไงการกอดเจ้าตัวน้อย ไม่ว่าจะเป็นตอนแรกเกิดหรือโตแล้วก็ตาม มันก็คือการแสดงออกถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป หากคุณไม่ได้ดูแลเขา ไม่ได้กอดเขาตั้งแต่แรกเกิดแล้ววันนี้เขากลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ดื้อและเอาแต่ใจ เริ่มกอดลูก พูดและแสดงออกให้เขาเห็นว่าพวกคุณรักเขา ห่วงเขา มากแค่ไหน จิตใจของลูกยังไงเขาก็ต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ แม้ว่าการเริ่มต้นโอบกอดลูกเมื่อเขาเติบโตแล้ว อาจจะแปลกๆ ในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อคุณทำอย่างต่อเนื่อง ลูกจะรับรู้และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงภาวะด้านอารมณ์ได้ดีขึ้น น้องอะตอมมุเป็นกำลังใจให้คุรพ่อคุณแม่และลูกน้อยทุกคน

 

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของประโยชน์ในการกอดเจ้ตัวน้อย เปรียบเสมือนยาขนานเอกที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้เพื่อลูกรักของคุณและอยากกอดโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว การกอดทารกจะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นได้ สุขภาพดีขึ้น ความห่วงใย เสริมสร้างความรัก ความผูกพันในครอบครัว และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กัน

 

ดังนั้น หากเราไม่ได้ใช้การกอดทารกในช่วง 3 ปีแรก นอกจากจะทำให้เขาเติบโตมาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการด้านอารมณ์ไม่ดีแล้ว การจะเริ่มต้นกอดลูกในภายหลัง จะค่อนข้างยากด้วย

 

ถ้าเราไม่ได้กอดเขาตั้งแต่แรก… กอดลูกวันนี้จะทันไหม ?


ไม่ว่าอย่างไรการกอดเจ้าตัวน้อย ตั้งแต่แรกเกิดหรือตอนเติบโต ก็คือการแสดงออกถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป หากคุณไม่ได้ดูแลเขา หรือไม่ได้กอดเขาตั้งแต่แรกเกิดแล้ววันนี้เขากลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ดื้อและเอาแต่ใจ คุณควรเริ่มจากการพูดคุย สัมผัสตัวลูก โอบกอด เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าพวกคุณรักและห่วงใยเขามากแค่ไหน เพราะไม่ว่าอย่างไรจิตใจของลูกก็ต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ แม้ว่าการโอบกอดลูกเมื่อเขาเติบโตแล้ว อาจจะขัดเขินในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อคุณทำอย่างต่อเนื่อง ลูกจะรับรู้และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงมีภาวะด้านอารมณ์ดีขึ้นด้วย

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

 
หัวข้อ: Re: จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
เริ่มหัวข้อโดย: baby8 ที่ 09 กันยายน 2564, 02:52:14 pm
ชวนคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตว่า ลูกเราพูดช้าหรือเปล่า

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

เมื่อลูกน้อยเกิดมา สิ่งแรกที่ทำคือการสื่อสารโดยการร้องไห้ เขารู้ว่าถ้าร้องจะได้รับการตอบสนองทันที แต่เมื่อเริ่มโตขึ้น เขาก็จะรู้ว่าแค่มองหน้า ยิ้ม หรือมีภาษาท่าทาง นั่นก็เป็นการสื่อสารด้วยเช่นกัน เด็กได้ฟังเวลาพ่อแม่หรือคนเลี้ยงคุยกับเขา เชื่อมโยงสิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่เห็นจนเกิดเป็นการเรียนรู้เรื่องภาษาในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะมีพัฒนาการทางภาษาเกิดขึ้นที่อายุเดียวกัน บางคนพูดเร็ว เริ่มที่ 1 ขวบกว่าๆ บางคนก็เริ่มที่อายุใกล้ 2 ขวบ

 

แล้วเมื่อไรถึงจะเรียกว่า ผิดปกติ? พญ.สินดี ตันศิริ (จำเริญนุสิต) กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช จึงชวนคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตพัฒนาการทางการพูดของลูกกัน

 

(https://www.baby8slot.com/wp-content/uploads/2021/05/3-3_pthumb.jpg)

 

พัฒนาการทางการพูดของเด็กปกติเป็นยังไง

 

ช่วงแรกเกิด- 4 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– ตอบสนองเมื่อมีเสียงดัง เช่น ร้อง กระพริบตา

– หยุดฟังเสียงหรือหยุดร้องไห้ เมื่อได้ยินเสียงคนเลี้ยง

 

การใช้ภาษา

– ร้องด้วยเสียงที่ต่างกัน เมื่อหิว หรือเจ็บ ฯลฯ

– ยิ้ม ส่งเสียง เมื่อเห็นคนเลี้ยง หรือมีคนมาเล่นด้วย

– ระวัง! *ไม่ตอบสนองต่อเสียง เมื่อเด็กอยู่ในช่วงที่ตื่นดี

 

 

ช่วงอายุ 5-7 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– เริ่มหันหาที่มาของเสียง

– มีปฏิกิริยาที่ต่างกันต่อน้ำเสียงหรืออารมณ์ของผู้ใหญ่

– หยุดฟัง มองหน้า เวลามีคนคุยด้วย

 

การใช้ภาษา

– หัวเราะ เมื่อมีคนเล่นด้วย

– เล่นเสียงได้หลากหลายขึ้น

– ระวัง! *ลูกส่งเสียงน้อย ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ โต้ตอบกับคนเลี้ยง

 

 

 

ช่วงอายุ 9-12 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– เริ่มเข้าใจคำสั่งห้าม เช่น “ไม่” “หยุด”

– มองตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ชี้ให้ดู

– ทำตามสั่งง่ายๆ ได้ เช่น บายบาย

– จำชื่อคนในบ้านพอได้

 

การใช้ภาษา

– ใช้เสียงคล้ายคำ เพื่อเรียกชื่อหรือสิ่งที่คุ้นเคย

– ส่ายหน้า หรือพยักหน้า เพื่อตอบคำถาม

– เริ่มมีคำที่มีความหมาย เริ่มเรียก ปาปา มามา ได้

– ระวัง! *ลูกไม่หันหาเสียง ไม่ทำเสียง เลียนเสียงพยัญชนะอื่นนอกจาก “อ”

 

 

ช่วงอายุ 15 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– ทำตามสั่งได้มากขึ้น เช่น “ไปเอารองเท้า”

– หันมอง หรือชี้คนหรือสิ่งของเมื่อถูกถาม เช่น “ไหนแม่”

 

การใช้ภาษา

– พยายามร้องเพลงหรือพูดตามแบบ

– ชี้ชวนให้คนอื่นดูสิ่งที่ตนสนใจ

– พูดได้ 4-6 คำ

– ระวัง! *ลูกยังไม่พูดคำที่มีความหมายอย่างน้อย 1 คำ เช่น หม่ำ ไป เอา ฯลฯ

 

 

ช่วงอายุ 18 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา


– ชี้อวัยวะตามสั่งได้ 1-3 อย่าง

– ตอบสนองถูกต้องกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น “ไปอาบน้ำ” ฯลฯ

– ทำตามสั่งที่ไม่มีท่าทางประกอบได้

 

การใช้ภาษา

– มีการพูดโต้ตอบด้วยพยางค์เดียวได้

– เล่นเสียงได้ เช่น เสียงรถ บรืนบรืน เสียงสัตว์ร้อง

– ใช้ท่าทางร่วมกับคำพูดเพื่อถาม เช่น ชี้ “อะไร”

– บอกความต้องการง่ายๆ ได้ เช่น “เอา” “ไป”

– ระวัง! *ลูกไม่เข้าใจ หรือไม่ทำตามคำสั่งง่ายๆ เช่น เอาให้แม่ ไปหยิบของ ฯลฯ ไม่พูดคำที่มีความหมาย 3 คำ

 


ช่วงอายุ 2 ปี
 

ความเข้าใจภาษา

– ชี้อวัยวะได้ 3-6 อย่าง

– ทำตามสั่งได้ 2 ขั้นตอน ชี้รูปได้มากขึ้น

– เข้าใจคำถามมากขึ้น เช่น “นี่อะไร” ฯลฯ

 

การใช้ภาษา

– พูดเป็นคำที่มีความหมายได้มากขึ้น ประมาณ 50 คำ

– เรียกชื่อของในบ้านได้มากขึ้น

– พูดเป็นวลีสั้นๆ ได้ เช่น “ไปเที่ยว” “ไม่กิน” ฯลฯ

– ถามคำถาม “อะไร”

– ระวัง! *ลูกไม่พูดคำที่มีความหมายต่างกัน 2 คำต่อเนื่องเช่น เอานม ไปเที่ยว ฯลฯ พูดคำศัพท์น้อยกว่า 50 คำ

 

 

ช่วงอายุ 2 ปีครึ่ง
 

ความเข้าใจภาษา

– เริ่มทำตามสั่งที่ซับซ้อนได้มากขึ้น

– ชี้ภาพในหนังสือได้ถูกต้องมากขึ้น

 

การใช้ภาษา

– บอกชื่อตัวเองได้

– บอกความต้องการได้ เล่าเรื่องที่สนใจแต่อาจจะยังไม่เชื่อมโยง

– ระวัง! *ลูกไม่พูดเป็นวลียาว 3-4 คำ ยังทำเสียงไม่เป็นภาษา

 

ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกน้อยมีพัฒนาการทางการพูดที่สงสัยว่าจะพูดช้า ควรปรึกษากุมารแพทย์ เพื่อประเมินและให้คำแนะนำต่อไป

 

 

คำแนะนำเบื้องต้นในการพัฒนาภาษาของลูก

มีเวลาพูดคุยหรือเล่นกับลูก งดการดูจอทุกชนิด ยกเว้นการ video call
 
ออกเสียงพูดให้ชัดเจน เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก
 
ถ้าลูกพูดช้า คนเลี้ยงควรพูดในสิ่งที่เขาสนใจหรือกำลังทำ เพื่อให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ร่วมกับฝึกให้เขาทำตามสั่ง ซึ่งเราอาจจะต้องจับมือทำไปด้วย เพื่อให้เขาเชื่อมโยงคำพูดกับการกระทำ รอและเปิดโอกาสให้ลูกได้เปล่งเสียงตามด้วย
 
มีการเล่น ชี้ชวนดูรูปภาพในหนังสือ หรือสิ่งของรอบตัว ร้องเพลง เล่นสมมติ เพื่อเพิ่มคำศัพท์
 
ฝึกให้ลูกพูดในสถานการณ์จริง โดยการ

– ตั้งคำถาม เช่น “อะไร” “ที่ไหน”

– เป็นผู้ฟังที่ดี หยุดรอให้ลูกสบตา ขยับปากจะพูด อาจจะถามซ้ำถ้าไม่เข้าใจ หรือพูดแทนไปก่อน เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้

– ขยายความคำตอบของลูก และชมเขา เมื่อเห็นว่าพยายามสื่อสาร

 

เพียงเท่านี้ พ่อแม่ก็สามารถพัฒนาทักษะทางภาษาของลูกเบื้องต้นได้

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก     ร.พ.นวเวช

พญ.สินดี ตันศิริ (จำเริญนุสิต)

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ