จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก

  
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #60 baby8»เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2564, 09:15:22 pm »
10 อาการของ “ทารกแรกเกิด” ที่ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป

มีหลายสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องใส่ใจ เมื่อ “ทารกแรกเกิด” ได้ลืมตามาดูโลก แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของลูกน้อยมากที่สุด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณควรตัดความกังวลทิ้งไปซะ

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท [u=https://www.baby8slot.com/]ของเล่นเสริมพัฒนาการ[/u] ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 



สัมผัสกระหม่อมบนศีรษะของทารก
หากคุณเคยทำสิ่งนี้ก็ไม่ต้องกังวลไป เมื่อคุณสัมผัสกระหม่อมของทารก นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะสัมผัสสมองของเขา แล้วคุณกำลังสัมผัสอะไรอยู่ ? มันคือเยื่อหุ้มเซลล์ที่มีความหนาและป้องกันได้ดี กระหม่อมมีอยู่เพื่อที่จะเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอดที่แคบได้อย่างปลอดภัย กะโหลกศีรษะของทารกมีความยืดหยุ่น ดังนั้น ศีรษะที่อ่อนนุ่มของลูกน้อยของคุณจึงรอดชีวิตจากการคลอดที่ค่อนข้างทุลักทุเลโดยไม่ทำอันตรายใด ๆ

 

เห็นชีพจรของทารกในกระหม่อม
สิ่งที่คุณเห็นคือการทำงานปกติของระบบไหลเวียนโลหิตของทารก เนื่องจากกระหม่อมครอบคลุมพื้นที่ของกะโหลกศีรษะที่ยังไม่หลอมรวมกัน มันจึงอ่อนนุ่ม ซึ่งทำให้มองเห็นเส้นเลือดและหลอดเลือดแดงได้ชัด

 

กระหม่อมทารกแรกเกิด

กระหม่อมของเด็กจะเห็นชัดเป็นธรรมดา แต่กะโหลกจะค่อย ๆ ปิดเอง

เลือดในผ้าอ้อมของทารกหญิงตัวน้อย
ในระหว่างตั้งครรภ์การเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนของมารดาสามารถกระตุ้นมดลูกของทารกในครรภ์หญิงได้ ภายในสัปดาห์แรกของชีวิต ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทารกเพศหญิงจะมีช่วงเวลาที่คล้ายกับการเป็นประจำเดือนสั้น ๆ ซึ่งมดลูกจะหลั่งเลือดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

 

โพรงเล็ก ๆ ในอกของทารก
วางใจได้เลย นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ากระดูกหน้าอกประกอบด้วยสามส่วน การเยื้องที่คุณเห็นน่าจะเป็นชิ้นส่วนด้านล่างที่เยื้องไปทางด้านหลัง เมื่อลูกของคุณโตขึ้น กล้ามเนื้อหน้าอกและหน้าท้องจะดึงมันให้ตรงขึ้นเอง โดยที่ก่อนหน้านั้น ชั้นของไขมันทารกจะปกปิดลักษณะทางกายวิภาคของทารกแรกเกิดเอาไว้

 

อึนุ่มเหลวหลังจากการให้นมทุกครั้ง
ทารกที่กินนมแม่อาจขับถ่ายหลังกินนมแต่ละครั้ง เนื่องจากนมแม่ย่อยเร็วมาก (ทารกที่กินขวดนมอาจมีการเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยลง) สำหรับปัญหาที่ไม่สบายตัวที่พ่อแม่เป็นห่วง ทารกแรกเกิดส่วนใหญ่จะอึนิ่มเพราะทารกกินอาหารเหลวทั้งหมด

 

ทารกแรกเกิดสะอึก

การสะอึกไม่ได้เป็นอันตรายสำหรับทารกน้อย

สะอึกอย่างต่อเนื่อง
ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจเช่นกันว่าทำไมเด็กทารกถึงสะอึกมาก บางคนบอกว่ามันเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างสมองและกะบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ควบคุมการหายใจ ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไร โดยทั่วไปแล้วอาการสะอึกเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายในวัยเด็ก

 

ร้องไห้
ทารกแรกเกิดมีระบบประสาทที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่และสะดุ้งได้ง่าย ซึ่งเป็นเพียงสองสาเหตุที่ทำให้เขาร้องไห้ออกมามาก และการร้องไห้เป็นวิธีเดียวในการสื่อสารความต้องการของทารก พูดง่าย ๆ คือเขาร้องไห้บ่อยมากแม้ว่าเขาจะดูเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ได้กำลังทำร้ายตัวเอง

 

สิวทารกแรกเกิด

ทารกแรกเกิดจะมีผื่นที่คล้ายสิวตามแก้มเป็นปกติ

ผื่นคล้ายสิวบนใบหน้า
เนื่องจากฮอร์โมนของมารดายังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายทารกแรกเกิดจำนวนมากจึงมีสิวซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่าง 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน มันไม่เป็นอันตราย แต่คุณต้องทำความสะอาดผิวให้ทารกอย่างอ่อนโยน

 

หน้าอกบวมในเด็กหญิงแรกเกิด … หรือเด็กชาย
ฮอร์โมนชนิดเดียวกันที่ทำให้ทารกเพศหญิงมีประจำเดือนเป็นช่วงสั้น ๆ สามารถทำให้หน้าอกของทารกทั้งสองเพศบวมได้ มันอาจจะดูน่ากลัว แต่มันจะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น และไม่ได้เป็นอันตราย

 

ทารกแรกเกิดจาม

การจามเป็นการปรับตัวของทารกเมื่อออกมาอาศัยนอกครรภ์มารดา

จามตลอดเวลา
ทารกมีจมูกเล็ก น้ำมูกเพียงเล็กน้อยก็ทำให้จามได้ และเนื่องจากทารกแรกเกิดของคุณเพิ่งโผล่ออกมาจากที่ที่เปรียบเสมือนบ้านที่มีน้ำขังในมดลูกของคุณ เขาจึงมีแนวโน้มที่จะมีเลือดคั่งเล็กน้อยในจมูก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการจามได้ เว้นแต่การจามของเขาจะมาพร้อมกับน้ำมูกข้นสีเหลือง ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นหวัด การจามทั้งหมดเป็นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เขาจะเติบโตไปตามปกติ

 

การให้ความระมัดระวังต่อเรื่องสุขภาพของทารกแรกเกิดนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากเกิดปัญหาใดขึ้นมาจะได้ติดต่อแพทย์อย่างทันการ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องทราบไว้ด้วยเช่นกันว่าอาการแบบไหนที่เราไม่จำเป็นต้องกังวลกับมันมากจนเกินพอดี เพื่อที่คุณจะได้เลี้ยงเจ้าตัวน้อยอย่างมีความสุขค่ะ

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #61 baby8»เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2564, 05:31:42 pm »
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด อีกโรคที่พบบ่อยในทารก

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 



 

เรื่องสุขภาพของลูกเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ล้วนกังวลมากที่สุดเลยนะคะ โดยเฉพาะตอนที่เขายังเป็นทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด” ที่พบได้บ่อยในเด็ก และหากมีภาวะแทรกซ้อนมากก็ส่งผลถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น จึงอยากจะนำแนะโรคนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้จักกันเอาไว้ค่ะ

 

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart disease) เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก มันคือภาวะหัวใจล้มเหลว เพราะหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดอาการเหนื่อย หายใจเร็ว น้ำหนักตัวขึ้นช้า หรือมีขนาดตัวที่เล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

 

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านพยาธิสภาพ อาการ และอาการแสดง ดังนั้นการรักษาและการดูแลจึงต้องแตกต่างกันไปตามแต่ละกรณี แต่หากได้รับการวินิจฉัยล่าช้า สามารถส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตได้

 

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดคือ

หากเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อันตรายถึงชีวิต

สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนัก แต่ความปกตินั้นเกิดขึ้นในขั้นตอนการสร้างอวัยวะตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งอาจมีส่วนสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสในช่วง 3 เดือนแรก หรือเกิดจากกรรมพันธุ์

 

ชนิดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

ชนิดเขียว
 

หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าชนิดมีอ็อกซิเจนในเลือดต่ำ เกิดจากความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด หรืออย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้เลือดดำปนกับเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ส่งผลให้ทารกเกิดภาวะขาดอ็อกซิเจน ผิวจึงมีสีเขียวคล้ำอมม่วง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนตอนทารกร้องไห้หรือดูดนม อาการเขียวมักพบได้ตามปลายมือ ปลายเท้า ริมฝีปากมาแต่กำเนิด หรือค่อย ๆ เขียวมากขึ้นหลังคลอด ในรายที่มีอาการเขียวมากและเรื้อรัง จะพบว่ามีนิ้วมือหรือนิ้วเท้าปุ้ม นอกจากนี้อาจยังมีความผิดปกติอื่น ๆ ที่ค่อนข้างรุนแรง

 

โรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้คือ ชนิดที่มีรูรั่วที่ผนังกั้นระหว่างห้องล่างของหัวใจร่วมกับการตีบของทางออกของห้องล่างขวา (Tetralogy of Fallot หรือ TOF) โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดที่มีอาการตัวเขียวชนิดอื่นๆ ที่สามารถพบได้ เช่น

 

ชนิดที่เส้นเลือดใหญ่ของหัวใจและปอดสลับกัน (Transposition of great artery หรือ TGA)

ความผิดปกติของเส้นเลือดปอดที่นำเลือดกลับมายังหัวใจ (Total anomalous pulmonary venous connection หรือ TAPVC)

โรคหัวใจพิการแบบซับซ้อน (Cyanotic complex congenital heart disease)

ชนิดไม่เขียว
 

เกิดขึ้นจากความผิดปกติในโครงสร้างของระบบหลอดเลือดและหัวใจ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่เกิดการผสมกันของเลือดดำและเลือดแดง โดยความผิดปกติอาจเกิดขึ้นบริเวณผนังกั้นหัวใจมีรูลิ้นหัวใจที่ปิดไม่สนิท (รั่ว) หรือไม่กว้างเท่าปกติ (ตีบ)

 

โรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้คือ การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องล่าง (Ventricular septal defect หรือ VSD) โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดที่ไม่มีอาการตัวเขียวชนิดอื่นๆ ที่สามารถพบได้บ่อย เช่น

 

การมีความผิดปกติของเส้นเลือดใหญ่ระหว่างหัวใจและปอด
(Patent ductus arteriosus หรือ PDA)

การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องบน (Atrial septal defect หรือ ASD)

การมีรูรั่วของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจห้องบนและล่าง (Atrioventricular septal defect หรือ AVSD)

ชนิดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือชนิดเดียว และชนิดไม่เขียว

อาการของโรค

อาการสามารถเริ่มได้จากไม่มีอาการเลย จนถึงอาการรุนแรง ส่วนอาการที่มักพบได้บ่อยและทำให้พ่อแม่สงสัยว่าลูกน้อยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่ มีดังนี้

 

เหนื่อยง่ายเมื่อเทียบกับเด็กปกติ ในทารกจะพบว่าต้องใช้เวลานานในการดูดนม ดูดนมแล้วพักบ่อย หายใจเร็ว หายใจแล้วจมูกหรือซี่โครงบาน

ลิ้นเขียว เยื่อบุตา ริมฝีปาก ปลายมือ ปลายเท้าเป็นสีคล้ำ

ติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น เป็นหวัดหรือปอดบวมบ่อย

การเจริญเติบโตต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

ลักษณะภายนอกผิดปกติเข้าได้กับกลุ่มที่มีความผิดปกติของโครโมโซม เช่น กลุ่มอาการดาวน์

หน้าอกผิดรูป ยุบหรือโป่งมากผิดปกติ นิ้วปุ้ม

หัวใจเต้นเร็วและแรงผิดปกติ

การตรวจวินิจฉัยโรค

ควรให้ทารกได้รับการตรวจเบื้องต้นโดยกุมารแพทย์ทั่วไป จากนั้นให้มีการตรวจยืนยันเพิ่มเติมโดยกุมารแพทย์โรคหัวใจอีกครั้ง โดยขั้นตอนการตรวจจะเริ่มจากการตรวจร่างกายเบื้องต้น เช่น การฟังเสียงหัวใจ หลังจากนั้นกุมารแพทย์โรคหัวใจจะพิจารณาการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นหัวใจ เอ็กซเรย์หัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง และการสวนหัวใจ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน

 

การรักษา

รักษาด้วยยา เพื่อเป็นการประคับประคองอาการในทารกรายที่มีความผิดปกติไม่มากและสามารถหายได้เอง

รักษาด้วยการสวนหัวใจ ทำการรักษาในรายที่สามารถใส่อุปกรณ์สายสวนหัวใจได้ เช่น ภาวะผนังกั้นหัวใจห้องบนหรือห้องล่างรั่ว หรือทำบอลลูนให้ในรายที่มีอาการตีบของลิ้นหัวใจ

รักษาด้วยการผ่าตัด มักใช้ในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล ซึ่งการผ่าตัดส่วนใหญ่มักได้ผลดี

สาเหตุโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

หากพ่อแม่มีความสงสัย ต้องรีบให้แพทย์วินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ

คำแนะนำสำหรับทารกที่มีอายุแรกเกิดถึง 1 ปี

ในทารกบางรายอาจต้องมีการจำกัดปริมาณนม และอาจไม่สามารถรับนมแม่ได้

ควรหลีกเลี่ยงอาหารเสริมชนิดที่มีรสเค็ม

คำแนะนำสำหรับทารกที่อายุมากกว่า 1 ปี

เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และให้พลังงานสูง

ควรได้รับวัคซีนคุ้มกันเหมือนเด็กปกติและต้องได้รับวัคซีนเสริมบางชนิด

หมั่นดูแลสุขภาพของช่องปากและฟัน เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ รวมทั้งไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจฟัน และต้องแจ้งแก่ทันตแพทย์ว่าเป็นโรคหัวใจ

ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยหลีกเลี่ยงการพาทารกไปในที่ชุมชน

ดูแลเรื่องการขับถ่าย ฝึกการขับถ่ายให้เป็นนิสัย

งดออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือกิจกรรมที่ใช้กำลังมาก

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากเวป motherhood.co.th

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #62 baby8»เมื่อ: 11 สิงหาคม 2564, 12:22:24 pm »
เปิดตัว “ฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อม” โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่



เราทราบกันดีว่ายาฟาวิพิราเวียร์นั้นใช้รักษาอาการของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดตัว “ฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อม” สำหรับเด็กและผู้สูงอายุขึ้น และเป็นตำรับยาที่คิดค้นได้ในประเทศไทยเรานี่เองค่ะ เรามาติดตามรายละเอียดเกี่ยวยาตำรับใหม่นี้กันนะคะ

ยาฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อมตัวแรกของไทย
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตำรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ สำหรับต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ตำรับแรกในประเทศไทย โดยงานเภสัชกรรมฯ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เมดิกา อินโนวา จำกัด ได้ร่วมกันพัฒนาและคิดค้นสูตรตำรับยาน้ำเชื่อมปราศจากน้ำตาลฟาวิพิราเวียร์สำหรับผลิตในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ (Hospital preparation) เพื่อนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยสูงอายุ รวมถึงผู้ป่วยที่มีความลำบากในการกลืนยาเม็ด


ยาตำรับน้ำเชื่อมนี้เหมาะกับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีปัญหาในการกลืนยาเม็ด
จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยเหลือประเทศไทยให้สามารถผลิตยาให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมได้ และพบการติดเชื้อในเด็กเพิ่มมากขึ้น เพราะนี่คือความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 จะต้องสามารถเข้าถึงยารักษาโรคฟาวิพิราเวียร์ได้อย่างทั่วถึง

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตำรับยาน้ำเชื่อมปราศจากน้ำตาลฟาวิพิราเวียร์ ได้มีการคัดเลือกและควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบตัวยาสำคัญ ตลอดจนมีการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยาตามมาตรฐานสากล ด้วยวิธีการที่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องและการศึกษาความคงสภาพ เพื่อยืนยันคุณภาพตลอดช่วงอายุการใช้งานของยา

สำหรับตำรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์นั้น เป็นยาน้ำเชื่อมแบบปราศจากน้ำตาล ลักษณะเป็นยาน้ำใส สีส้ม มีรสราสพ์เบอรี่ ผลิตออกมาด้วยกัน 2 ขนาด คือ ขนาด 800 มิลลิกรัมในปริมาตร 60 มิลลิลิตร และ ขนาด 1,800 มิลลิกรัมในปริมาตร 135 มิลลิลิตร โดยให้รับประทานยาขณะท้องว่าง วันละ 2 ครั้ง ห่างกันทุก 12 ชั่วโมง

ขนาดและวิธีการใช้ยาในเด็ก
วันแรก รับประทานขนาด 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้ วันละ 2 ครั้ง และวันต่อมา ขนาด 20 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้ วันละ 2 ครั้ง

ขนาดและวิธีการใช้ยาในผู้ใหญ่
วันแรก รับประทาน ขนาด 1,800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และวันต่อมา ขนาด 800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง กรณีเป็นผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม หรือค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 กก./ตรม. วันแรก รับประทาน ขนาด 2,400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และวันต่อมา ขนาด 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

ขอยาฟาวิพิราเวียร์สูตรน้ำเชื่อม
หากมีผลตรวจพบเชื้อ สามารถขอรับยาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ขอรับยาได้อย่างไร ?
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยเด็กและผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่มีผลตรวจ RT- PCR ยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 สามารถติดต่อเพื่อขอรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ได้ เพียงนำผลยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 หรือตามแพทย์เห็นสมควรจากประวัติสัมผัสและผลตรวจ Antigen rapid test เป็นบวก เข้ามาพบแพทย์และรับยาได้ที่ favipiravir.cra.ac.th หรือ โทร 06-4586-2570 ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค.นี้เป็นต้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

โดยระยะแรกในเดือนส.ค.-ก.ย.โรงพยาบาลจุฬาภรณ์สามารถผลิตยาตำรับนี้ได้จำกัด เพียงไม่เกิน 100 รายต่อสัปดาห์ และยานี้ต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #63 baby8»เมื่อ: 13 สิงหาคม 2564, 09:36:42 pm »
คุณแม่ควรเริ่มต้นให้นมลูก เมื่อไร

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


การเริ่มต้นให้นม ควรจะเริ่มให้ไวที่สุดเท่าที่ทำได้คะ เพราะทันทีที่เจ้าตัวน้อยออกมาเผชิญโลกกว้าง เค้าจะไม่ได้รับสารอาหารจากคุณแม่ทางสายสะดืออีกต่อไป ดังนั้น คุณแม่ที่คลอดแบบธรรมชาติ ถ้าฟื้นตัวไว ก็สามารถให้ลูกเริ่มดูดกระตุ้นได้ตั้งแต่ชั่วโมงแรก หลังคลอดเลยทีเดียวคะ แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะทารกน้อยที่เกิดมา จะใช้เวลาในการนอนมาก มักไม่ค่อยตื่นมาช่วยดูดเท่าไร

สำหรับคุณแม่ที่ผ่าคลอด จำเป็นต้องพักฟื้น 1 วัน ห้ามลุก เพราะอาจกระทบกระเทือนกับแผลผ่าตัดได้ บางโรงพยาบาล จะช่วยเลี้ยงเจ้าตัวน้อยให้ 1 วัน แล้วจึงจะส่งมาให้คุณแม่ได้อุ้มสมใจ ในวันถัดไปคะ แล้วคุณแม่ผ่าคลอดจะเริ่มต้นให้นมได้ยังไง ?? คำตอบคือ ทันทีที่คุณหมออนุญาตให้คุณแม่ลุกขึ้นนั่งได้คะ อาจเป็น 1 วัน หลังจากผ่าคลอด หรือในคุณแม่ที่จำเป็นต้องฟื้นตัวนาน อาจใช้เวลาถึง 2 วัน ทันทีที่นั่งได้ คุณแม่สามารถอุ้มเจ้าตัวน้อย ดูดกระตุ้นให้น้ำนมคะ ^^

อีกตัวเลือกหนึ่ง คุณแม่สามารถใช้เครื่องปั๊มนม ซึ่งปัจจุบันมีหลายหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ ทั้งแบบหัวเดียว และ สองหัว (แม่ค้าแนะนำแบบที่ชาร์จได้ และมี 2 หัว เพื่อความสะดวกในการพกพา และรวดเร็วเวลาปั๊มนมคะ) เครื่องปั๊มนี้ แม้ว่าเจ้าตัวน้อยของเรายังหลับอยู่ เราก็ยังสามารถใช้เครื่องมาปั๊มกระตุ้น และเก็บไว้ให้เจ้าตัวน้อยกินได้คะ
โดยปกติ ร่างกายคุณแม่จะผลิตน้ำนม ภายใน 2-3 วัน หลังจากคลอดเจ้าตัวน้อย น้ำนมหยดแรกๆ จะมีสีเหลืองเข้ม (เหลืองยิ่งกว่ายาคูลย์ซะอีก) คุณแม่ไม่ต้องตกใจ น้ำนมเราไม่ได้เสียนะคะ น้ำนมสีนี้แหละที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล อย่าได้เผลอทิ้งเชียว เพราะมันอุดมไปด้วยแบคทีเรียชนิดดีและมีภูมิคุ้มกันที่หาที่ไหนไม่ได้ อีกแล้วนะคะ แต่หลังจากร่างกายผลิตน้ำนม ประมาณ 3-4 วัน สีของน้ำนม จะเริ่มอ่อนลง เป็นเรื่องปกติคะ
ในคุณแม่บางคน น้ำนมอาจจะเริ่มไหลใน 5-7 วัน ไม่ต้องกังวลหรือเครียดไปนะคะ สำคัญที่ร่างกายคุณแม่ ถ้าพร้อมเมื่อไรน้ำนมก็จะมาเองคะ แต่ในช่วงนี้ คุณแม่อาจต้องใช้นมผสมไปพลาง แต่อย่าลืมให้ลูกดูดเต้า หมั่นกระตุ้นให้บ่อยที่สุดที่ทำได้นะคะ

ในช่วง 2-3 วันแรก เจ้าตัวน้อยควรจะดื่มนม ทุกๆ 1-3 ชั่วโมง ตลอดวัน และตลอดคืน หากเค้าหลับ คุณแม่ควรปลุกเค้าให้ตื่นมาทานนม ทุก 3 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น อาจเกิดภาวะตัวเหลืองได้นะคะ

น้ำนมแม่จะเริ่มไหลเมื่อไร

โดยปกติแล้ว คุณแม่จะเริ่มมีน้ำนมไหลออกมา ในช่วง 1-3 วัน หลังจากคลอดเจ้าตัวน้อยออกมา แต่ก็มีคุณแม่บางราย เริ่มมีน้ำนมไหลขณะที่ตั้งครรภ์ หรือ เริ่มไหลภายหลังจากคลอดน้องประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของร่างกายคุณแม่คะ สำหรับคุณแม่มือใหม่คงจะสงสัยว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าน้ำนมจะไหล อยู่ๆก็ไหลเองรึเปล่า หรือมีอาการอย่างไรบ้าง ?? มาดูกันเลยคะ

น้ำนมแม่จะเริ่มไหลเมื่อไร
คุณแม่ส่วนใหญ่จะรับรู้ถึงอาการ ว่าน้ำนมกำลังจะเริ่มไหล ขณะที่เจ้าตัวน้อยมีการดูดกระตุ้น หรืออาจเป็นภายหลังจากนั้น โดยมีสิ่งมากระตุ้น เช่น เสื้อผ้ามีการสัมผัส หรือถูไปมากับหัวนม อาการที่คุณแม่จะรับรู้ได้ ก็คือ รู้สึกเหมือนมีหมุดและเข็มเล็กๆ หรือรู้สึกเสียวภายในหน้าอก อาการต่อมา คุณแม่จะรู้สึก ตึง เต้านมแข็งขึ้น และมีน้ำนมไหลออกมาภายใน 1-5 วินาที น้ำนมก็จะดันตัวเอง หยดออกมาปริมาณหนึ่ง คุณแม่ควรจะให้เจ้าตัวน้อยดูดทันที หรือ ปั๊มเก็บไว้ให้เจ้าตัวน้อยได้ทาน อย่าลืมว่า น้ำนมหยดแรกๆนี้ จะมีสีเหลืองเข้ม (เหลืองยิ่งกว่าสียาคูลย์เสียอีก) น้ำนมช่วงแรกเริ่มนี้เอง มีคุณค่า และภูมิต้านทานมากที่สุด คุณแม่อย่าพลาดเชียวนะคะ

การให้เจ้าตัวน้อยดูดบริเวณหัวนม จะไปกระตุ้นเส้นประสาทในหัวนม ให้ส่งข้อความไปยังสมองของคุณแม่บอกให้หลั่งน้ำนมออกมา และในคุณแม่บางคนอาจจะรู้สึกปวดในมดลูกขณะที่น้ำนมไหลอีกด้วย การให้นมนี้ จะเป็นประโยชน์ และช่วยให้มดลูกของคุณแม่หดกลับไปขนาดเดิมอีกด้วยคะ

ในคุณแม่บางราย ที่มีการให้น้ำนมอย่างสม่ำเสมอ เป็นช่วงเวลา พอถึงเวลาที่จะให้นม ก็จะคัดนม และมีน้ำนมไหลออกมาอย่างรวดเร็ว คุณแม่ที่มีน้ำนมดีๆ อาจจะมีอาการดังกล่าว น้ำนมไหลทันที เพียงแค่เห็นเจ้าตัวน้องร้องไห้ หรืออุ้มเจ้าตัวน้อยโดนหน้าอก เท่านั้น

ทันทีที่น้ำนมไหล คุณแม่ควรให้ลูกดูด หรือปั๊มเก็บให้หมดจนเกลี้ยงเต้า เพราะหากเอาออกไม่หมด สิ่งที่ตามมาก็คือ จะเกิดเป็นไตแข็งภายในหน้าอก จนนำไปสู่อาการไข้ขึ้น น้ำนมน้อยลงคะ



ขอบคุณข้อมูลจาก babekits.com

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #64 baby8»เมื่อ: 16 สิงหาคม 2564, 12:20:25 pm »
คุณแม่มือใหม่ จะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าตัวน้อยหิวนม

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่



สำหรับคุณแม่มือใหม่ คงเคยได้ยินมาว่า “ทารกแรกเกิดนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า กิน, นอน, ฉี่, อึ” ก็จริงตามที่เค้าพูดมาคะ
เจ้าตัวน้อยของเรา ในช่วงแรกคลอดจะใช้เวลานอนเป็นส่วนใหญ่ จะมีร้องกินนมบ้าง หรือร้องไม่สบายก้นเพราะเค้าฉี่ หรืออึ ออกมาใส่ผ้าอ้อมบ้าง แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าลูกหิวนม

รู้ได้ยังไงว่าลูกหิวนม
อาการแรก ที่ลูกจะแสดงออก ก็คือ การร้องไห้คะ ทันทีที่เจ้าตัวน้องร้องไห้ ให้ดูก่อนว่า เค้าฉี่ หรือ อึ หรือเปล่า ถ้าเปลี่ยนผ้าอ้อมเรียบร้อยแล้ว อุ้มโยก พร้อมกับตบก้นเบาๆ แล้วเค้ายังไม่หยุดร้อง ก็แสดงว่าเค้าหิวนมคะ ส่วนอาการอื่นๆ ที่ลูกพยายามจะบอกว่าเค้าหิว มีตามนี้

– เปิด และปิดปาก หรือทำเสียงจั๊บๆ
– ดูดริมฝีปาก, ดูดนิ้วมือ-นิ้วเท้า หรือสิ่งของอื่นๆ
– หมุนหัว ซุกบนอกคุณแม่ หรือที่นอน
ถ้าคุณแม่สงสัยว่าเจ้าตัวน้อยหิวนม ก็สามารถให้กินเต้า หรือดูดจากขวดนมได้เลยคะ ถ้าเค้ารับไปดูด ก็แสดงว่า หิวนมแล้ว หรือถ้าดูดเล่นไม ไม่จริงจัง ก็แสดงว่าเค้ายังไม่ต้องการ ก็ปล่อยเค้านอนเล่นไปก่อน แล้วคอยสังเกตอาการเอา ส่วนใหญ่ก็จะดูดริมฝีปาก หรือทำเสียงจั๊บๆ คะ

ให้ลูกดูดเต้าหรือขวดนมดี
การ ดูดเต้า หรือจาก ขวดนม ก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ขอให้เป็น นมแม่ เพราะเป็นอาหารที่ดีที่สุดของลูกน้อยของเราคะ สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่ไม่มีน้ำนม ก็ไม่เป็นไรนะคะ การให้นมขวดก็มีข้อดีหลายๆอย่างเรามาดูข้อดี และข้อเสีย กันเลย

ข้อดีของการให้ดูดนมจากเต้า
สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่และลูกน้อย การอุ้มขณะคุณแม่ให้นมลูก จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับรู้การสัมผัส การกอดอันอบอุ่น ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคุณแม่ และลูกน้อยได้เป็นอย่างดี
ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วน เพราะลูกน้อยได้รับนมที่สด และใหม่จากอกคุณแม่ (คุณแม่ควรให้ลูกดูดจนหมดเต้าด้วยนะคะ)
ดูดได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวเสีย หากสถานที่ไม่อำนวย คุณแม่สามารถหาผ้าคลุมให้นม มาคลุมขณะให้นมก็สะดวกดีคะ
ช่วยให้มดลูกของคุณแม่เข้าอู่ และทำให้น้ำหนักลดลงไวขึ้น เนื่องจาก ร่างกายคุณแม่ จะมีการเผาผลาญที่ดี เพื่อกลั่นออกมาเป็นน้ำนมให้ลูกน้อยได้กินคะ

ข้อดีของการให้ดูดนมจากขวด
สะดวก และง่ายต่อการให้นม เจ้าต้วน้อยสามารถทานนมได้ทุกที่
ไม่ว่าใครก็ป้อนนมขวดให้เจ้าตัวน้อยได้ ทำให้คุณแม่มีเวลาไปทำสิ่งอื่นๆได้ง่ายขึ้น
ช่วยให้คุณแม่มีเวลาเพิ่มขึ้น ในระหว่างที่ลูกดูดขวด คุณแม่จะมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกนิด ทำให้ง่ายต่อการปั๊มกระตุ้น ให้น้ำนมเพิ่มมากขึ้น และยังทำให้คุณแม่รู้ปริมาณน้ำนมของตนเองได้ชัดเจนขึ้น
รู้ปริมาณนมที่ลูกกิน ทารกแรกเกิด บางคนดูจะชอบกินนมจากขวด เพราะไม่ต้องออกแรงดูดมากเท่ากับเต้า
 
ทางที่ดีคุณแม่ควรฝึกให้ลูกสามารถดูดสลับกัน โดยไม่เกิดความสับสน ระหว่างเต้ากับจุกนมคะ
ตัวอย่างเช่น คุณแม่ที่ทำงานนอกบ้าน อาจปั๊มนมเก็บไว้ระหว่างทำงาน เพื่อเอากลับมาให้เจ้าตัวน้อยกินในวันถัดไป ซึ่งเป็นเวลาที่คุณแม่ไม่ได้อยู่เลี้ยง และพอกลับมาถึงบ้าน ก็ให้เค้าดูดเต้าแทนขวดนม จนกระทั้งเจ้าตัวน้อยนอนหลับ ค่อยปั๊มนมเก็บให้เกลี้ยงเต้า วิธีนี้จะช่วยให้ลูกได้อยู่ใกล้ชิดคุณแม่ และยังช่วยให้คุณพ่อ หรือปู่ย่าตายาย ง่ายต่อการเลี้ยงเจ้าตัวน้อย ยามที่คุณแม่ไม่อยู่
อีกทั้งสามารถแก้ไขอาการคัดน้ำนม จนเป็นก้อนแข็งภายในเต้าของคุณแม่ด้วย เพราะลูกน้อยยังช่วยดูดได้อยู่คะ




ขอบคุณข้อมูลจาก babekits.com



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #65 baby8»เมื่อ: 17 สิงหาคม 2564, 11:21:25 am »
ทายเพศลูกก่อนอัลตร้าซาวด์

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

ทันทีที่รู้ว่า จะมีเจ้าตัวน้อย เพิ่มขึ้นมาในครอบครัว คุณแม่คุณพ่อทุกๆคน ย่อมอยากรู้ว่า ลูกในท้อง จะเป็น ลูกชาย หรือ ลูกสาว และเฝ้ารอให้ถึงวันอัลตร้าซาวด์ อย่างใจจดใจจ่อ คุณแม่บางคนใจแข็ง รอลุ้นเพศลูก ในวันคลอดเลยทีเดียว แต่จะได้เทวดา หรือ นางฟ้าตัวน้อย ก็รักอยู่แล้วค่ะ
 


สีปัสสาวะ
สีปัสสาวะของคุณแม่ก็อาจบ่งบอกเพศของลูกได้ โดยคุณแม่ที่มีปัสสาวะสีเหลืองใส ให้สันนิษฐานว่าคุณแม่อาจได้ลูกชาย แต่ถ้ามีปัสสาวะสีเหลืองขุ่น ก็แสดงว่าคุณแม่อาจได้ลูกสาวค่ะ แต่ทั้งนี้สีของปัสสาวะก็ขึ้นอยู่กับระดับน้ำในร่างกายและขึ้นอยู่กับการทานอาหารบางชนิดของคุณแม่ด้วยนะคะ

อาการแพ้ท้อง
บางครั้งอาการแพ้ท้องของคุณแม่ก็สามารถบ่งบอกเพศของลูกได้เช่นกันนะคะ คุณแม่ผู้มีประสบการณ์หลาย ๆ ท่านมักบอกว่าตอนตั้งท้องลูกสาวจะมีอาการแพ้ท้องมากกว่าตอนตั้งท้องลูกชาย ซึ่งจากการสำรวจก็มีผลออกมาแล้วว่าคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง มีแนวโน้มที่จะได้ลูกสาวเสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าคุณแม่ไม่มีอาการแพ้ท้องใด ๆ หรือมีแต่น้อยมาก ก็แสดงว่าคุณแม่อาจกำลังจะได้ลูกชายค่ะ

ลักษณะท้อง
คนสมัยก่อนหรือคนโบราณมักจะเชื่อกันว่าถ้าคุณแม่มีท้องแหลม ท้องห้อยลง และมีลักษณะคล้ายกำลังอุ้มลูกบาส แถมเวลาลูกดิ้นยังรู้สึกเจ็บแถวกระเพาะปัสสาวะบ่อย ๆ แสดงว่าลูกอาจจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่ถ้าคุณแม่มีท้องกลมป้าน และมีลักษณะคล้ายกับอุ้มลูกแตงโมอยู่ อีกทั้งเวลาลูกดิ้นยังรู้สึกเจ็บแถวซี่โครงนั้น ก็แสดงว่าอาจจะเป็นเด็กผู้หญิงได้ค่ะ

ขนาดหน้าอกของแม่
คุณแม่ลองสังเกตเต้านมของตัวเองดูสิคะว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างขณะตั้งครรภ์ ถ้าคุณแม่คนไหนรู้สึกว่าหน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม แสดงว่าคุณแม่อาจกำลังจะได้ลูกสาวนะคะ แต่ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ก็แสดงว่าคุณแม่อาจได้ลูกชายค่ะ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะทารกเพศชายทำให้ร่างกายคุณแม่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูงขึ้น ซึ่งจะไปควบคุมฮอร์โมนของคุณแม่ ทำให้หน้าอกขยายได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้คุณแม่ที่อุ้มท้องลูกชายมีหน้าอกเล็กกว่าคุณแม่ที่อุ้มท้องลูกสาวนั่นเองค่ะ

ผิวพรรณ ผมและเล็บ
หากคุณแม่พบว่าตนเองมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งสดใส ผมยาวสลวยดูสุขภาพดี มีเล็บยาวเร็วขณะตั้งครรภ์ นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะได้ลูกชายนะคะ แต่ถ้าคุณแม่พบว่าตัวเองมีผมแห้ง มีสิวฝ้า หน้าหมองคล้ำ ก็แสดงว่าอาจจะได้ลูกสาว เนื่องจากฮอร์โมนจากเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงง่าย จึงเป็นไปได้ที่คุณแม่จะมีสิวบนใบหน้า แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัด เพราะอาการที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณของคนท้องนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากคุณแม่เองค่ะ

อัตราการเต้นของหัวใจลูก

เราสามารถฟังเสียงหัวใจลูกเต้นได้ ในสัปดาห์ที่ 10-12 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยว่าเอื้ออำนวยด้วยหรือไม่ เช่น ตำแหน่งทารกที่อยู่ในครรภ์ หรือ ปริมาณชั้นไขมันของคุณแม่ ดังนั้น ถ้าคุณหมดสามารถตรวจอัตราการเต้นของหัวใจลูกได้ คุณแม่ลองถามคุณหมอดู ว่าลูกมีอัตราการเต้นของหัวใจเท่าไร ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจเด็กต่ำกว่า 140 ครั้งต่อนาที แสดงว่าทารกในครรภ์อาจเป็นเพศชาย แต่ถ้ามีอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่า 140 ครั้งต่อนาทีละก็ อาจเป็นทารกเพศหญิงค่ะ  (ทารกในครรภ์ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าผู้ใหญ่ ถือเป็นเรื่องปกติ ค่ะ)

การคาดเดาเพศของลูกในครรภ์ด้วยวิธีดังกล่าวนี้ อาจยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนและแม่นยำมากนัก เพราะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ย่อมมีอาการแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น อายุ สภาพแวดล้อม สภาพร่างกาย หรือการตั้งครรภ์ในครั้งก่อน เป็นต้น อย่างไรแล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากทราบเพศของลูกเร็ว ๆ ละก็ มีอีก 1 วิธีค่ะ ที่ได้ผลชัวร์เลยค่ะ ก็คือ การอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจสอบเพศจะเป็นวิธีที่แม่นยำมากกว่าค่ะ คราวนี้เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าตัวเองได้ลูกชายหรือลูกสาว ก็จะได้เตรียมตัวจัดของต้อนรับลูกน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้เลย ค่ะ



ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #66 baby8»เมื่อ: 19 สิงหาคม 2564, 12:23:26 pm »
9 เทคนิค ช่วยให้ลูกชอบกินผัก

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

เกือบทุกบ้าน มักพบกับปัญหาลูกไม่ยอมกินผัก แค่เห็นสีเขียวๆนิดเดียวก็เขี่ยออกแล้ว แต่ถ้าคุณแม่ตามใจ ปล่อยเลยตามเลย สุดท้ายก็จะมีผลต่อสุขภาพของเจ้าตัวน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย เริ่มจากระบบขับถ่ายก่อน ลูกจะมีอาการท้องผูก ถ่ายยาก อึแข็ง ร้องไห้เวลาถ่ายจนน่าสงสาร และยังเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงหลายชนิด เมื่อโตขึ้นไป วันนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ให้ได้เทคนิคดีๆที่ได้รวบรวม เทคนิค ช่วยให้ลูกชอบกินผัก ที่หลายๆบ้านทำแล้วได้ผล มาฝากกันค่ะ



9 เทคนิค ช่วยให้ลูกชอบกินผัก
ปลูกฝังให้ลูกน้อยกินผักตั้งแต่เริ่มอาหารมื้อแรก เมื่อลูกถึงวัยเริ่มทานอาหารบด หรืออาหารหยาบ คุณแม่ควรผสมผักลงในจานด้วยเสมอ เพื่อเป็นสร้างความคุ้นเคยให้ลูกกินผัก ให้เหมือนกับการกินข้าวนั่นเอง อาจเริ่มจากผักที่มีรสหวาน ทานง่ายๆ เช่น มันฝรั่ง แครอท แล้วค่อยเริ่มทาน ฟักทอง ฟักเขียว แตงกวา แตงล้าน ที่ต้องอาศัยการปรุงเพิ่มรสชาติ  หลังจากนั้นเริ่มผักใบ เช่น ตำลึง ผักกาดขาว ฯลฯ ทั้งหมดนี้

สร้างความประทับใจแรกให้กับเมนูผัก ลองคิดดูนะคะว่า ถ้าสิ่งแรกที่เค้าจำความได้เกี่ยวกับผัก คือ มีรสขม แข็ง ไม่มีความอร่อยเลย ทีนี้การจะให้ลูกทานผักในมื้อต่อๆไป นั้นยิ่งยากขึ้นไปอีก ดังนั้น เมื่อเจ้าตัวน้อยเริ่มรู้เรื่อง เริ่มจดจำและมีความคิดเป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ คราวนี้ก็เป็นเวลาของคุณแม่ที่จะคัดสรรผักที่มีรสชาติดี สีสันสดใส เพื่อมาสร้างสรรค์เมนูผัก ให้หลายหลาย น่ากิน สร้างความประทับใจแรกให้กับเจ้าตัวน้อยกันแล้ว

ชิ้นผักในจานลูก ต้องทานง่าย ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะเด็กส่วนใหญ่มักจะเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ดังนั้น ผักชิ้นใหญ่ หรือยาวจนเกินไป อาจติดคอลูกได้ ทางที่ดี คุณแม่ควรหั่นให้เล็กเข้าไว้ แต่ไม่ถึงกับสับละเอียด จนไม่เหลือเค้าของผัก ส่วนผักที่แข็ง ก็ควรนำไปลวกให้นิ่มเสียก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการกินของลูก

ให้ถือกินเล่น เหมือนขนมขบเขี้ยว ผักบางประเภท เช่น แครอท แตงกวา แกนคะน้าอ่อน เมื่อหั่นเป็นแท่ง นำไปลวก และแช่ตู้เย็นไว้ ก็จะมีความกรอบ สามารถเอามาให้ลูกถือกินเล่น เหมือนขนมได้ ช่วยทำให้ลูกน้อยคุ้นเคยกับกลิ่น และรสชาติของผักไปด้วย

พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ในทุกมื้อ ควรจะมีเมนูผักอย่างน้อย 1 อย่าง และคุณพ่อคุณแม่นั่นแหล่ะ ที่จะต้องทานผัก เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกๆ เมื่อลูกเห็นพ่อแม่ทาน ก็จะทานตามไปด้วยเอง อย่าทำเหมือนว่า เมนูผัก มันต่างจากเมนูอื่นๆบนโต๊ะ

สร้างสีสันให้เมนูผัก ด้วยการตกแต่งให้น่ากิน การทำผักให้เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่ลูกชอบ ก็จะเชิญชวนให้ลูกสนุกกับการกินผัก ถ้าอยากเพิ่มความสนุกเข้าไปอีก โดยการซ่อนผักรูปสัตว์นั้น ลงในข้าวเพื่อให้ลูกค้นหา หรือจะเอาไปชุบแป้งทอด กลายเป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดของลูกก็เยี่ยมค่ะ

อ่านนิทาน หรือเปิดการ์ตูนที่ชอบกินผัก เพื่อเป็นตัวอย่าง และเชิญชวนให้ลูกกินผักตาม ตัวอย่างการ์ตูน เช่น ป๊อปอาย

บอกประโยชน์ของผักให้ลูกรู้ ถ้าลูกชายอยากแข็งแรง อย่างป๊อปอาย ก็บอกว่า ต้องกินผักสีเขียวให้เยอะ หรือถ้าเป็นลูกสาว อยากผิวสวย น่ารัก ก็บอกให้ทานมะเขือเทศ แตงกวา ผักกาดขาว หรือ “ถ้าไม่อยากสายตาสั้น อย่างพ่อ ต้องกินผักบุ้งให้เยอะๆ” ฯลฯ อันนี้ต้องใช้ฝีมือหลอกล่อของคุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ

ชวนลูกเข้าครัว ลงมือทำอาหารเมนูผักด้วยกัน การให้ลูกมีส่วนร่วมในการเตรียมอาหาร จะทำให้เค้ารู้สึกอยากทานเมนูที่เค้าทำขึ้นเองได้มากขึ้น คุณแม่ลองถือโอกาส แอบชวนลูกทานผักระหว่างเตรียมไปพร้อมๆกันด้วยซะเลย

จาก 9 เทคนิคด้านด้านบน เชื่อว่าต้องมีสักอันทำให้เจ้าตัวเล็กเริ่มทานผักได้ ที่สำคัญ คุณแม่ต้องไม่ละความพยายามเสียก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย พร้อมแล้ว ก็เริ่มกันได้เลยค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจาก babekits.com



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #67 baby8»เมื่อ: 20 สิงหาคม 2564, 11:09:47 am »
อาหารแบบไหน? ที่คุณแม่ควรเลี่ยงและคุณแม่กับคาเฟอีน

อาหารแบบไหน? ที่คุณแม่ควรเลี่ยง…
 



วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่


คุณแม่หลาย ๆ คน มักมีของชอบที่แตกต่างกันไป ตามรสชาติและชนิดของอาหารที่ชอบ แต่เมื่อเกดิการตั้งครรภ์ คุณแม่ต้องคำนึงและระวังอาหารที่ทานเข้าไปในทุก ๆ มื้อ เพราะ

โภชนาการที่คุณแม่ได้รับลูกน้อยในครรภ์ก็ได้รับด้วย เราจึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในอาหารแต่ละมื้อ ไม่ว่าอาหารจานนั้นจะเป็นของโปรดหรือไม่ก็ตาม

 
วันนี้เราจะมาแนะนำอาหารและเครื่องดื่มที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยง ด้วยโภชนาการที่ได้รับไม่เกิดผลดีต่อลูกน้อยเท่าไหร่นัก ทำให้คุณแม่ทั้งหลายต้องอดใจ ไม่รับประทานเพื่อลูกน้อย

อาหารรสจัดและมีกลิ่นฉุนมาก เช่น ยำรสจัด มีกลิ่นฉุนของหัวหอม อาจทำให้ลูกไม่สบายท้อง แม่แสบกระเพาะอาหารได้ง่าย

ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ หากดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ควรเลี่ยงการให้นม/ปั๊มนม 2 ชั่วโมงหลังการดื่ม เพราะลูกสามารถได้รับคาเฟอีนผ่านน้ำนม

แม่ได้ และมีผลต่อการสร้างกระดูกของลูก เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือลูกน้ำหนักน้อยกว่าปกติพิการได้

 
อาหารหมักดอง และเลี่ยงการรับประทานอาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป อาหารที่มีผงชูรสและสารปรุงแต่งต่างๆ เช่น กุนเชียง ลูกชิ้น ไส้กรอก หมูยอ ปลากระป๋อง ผักกาดดองกระป๋อง เพราะร่างการจะได้รับปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจและไตทำงานหนักมากขึ้น

 

เลี่ยงกลุ่มครื่องดื่มที่มีรสหวาน เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน โกโก้เย็น นมเปรี้ยว เป็นต้น กลุ่มขนมเบเกอรี่ เช่น เค้ก พาย โดนัท เป็นต้น กลุ่มขนมขบเคี้ยว เช่น ปลาเส้นปรุงรส มันฝรั่งทอด ขนมปังเวเฟอร์ขนมปังแท่ง เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้หญิงตั้งครรภ์อ้วน และมีความเสี่ยงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษ ลูกเกิดมาตัวใหญ่ คลอดยาก อีกทั้งเสี่ยงที่จะเป็นเด็กอ้วนในอนาคต

 

การรับประทานยาบางชนิด แม้สารในตัวยาสจะมีเพื่อรักษาอาการเจฌบป่วย แต่สารบางตัวมีฤทธิ์ที่ส่งผลเสียต่อลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้นจำเป็นต้องทานยาควรปรึกษาแพทย์ ก่อนทุกครั้ง

 

คุณแม่กับคาเฟอีน

ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตครองใจทุกเพศ ทุกวัย บางคนทานกาแฟตอนเช้าเพื่อให้รู้สึกสดชื่น หลุดพ้นจากความง่วง ข้ามมาช่วงบ่ายทำงานนั่งโต๊ะจนร่างกายเอื่อยเฉื่อย ได้ดื่มชาเย็น ๆ อีกสักแก้ว เพิ่มน้ำตาลให้กับร่างกายก็แก้ง่วงได้ดี แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังเริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นคุณแม่แล้ว การทานคาเฟอีนแบบที่ทำอยู่ทุกวันอาจไม่ดีต่อลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์นัก

 

หากบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมาก ๆ

จะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างไร ?

คาเฟอีนมีสารขับปัสสาวะ ทำให้เราปัสสาวะบ่อย ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำ มากกว่าปกติ กรณีนี้ คุณแม่ควรดื่มน้ำทดแทนด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ

ทารกในครรภ์ไม่สามารถขับสารคาเฟอีนที่รับมาได้เอง หากได้รับในปริมาณที่มาก อาจทำให้การเจริญเติบโตช้า หรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ บางรายมีโอกาสพิการแต่กำเนิดได้

 

   สำหรับคุณแม่ที่ทานเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นประจำ คงเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความอดทน และห้ามใจเป็นอย่างมาก เพื่อลูกน้อย แต่สารคาเฟอีนในเครื่องดื่ม ไม่ได้อันตรายเสียทีเดียวหากเรารู้จักที่จะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ

 

การบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างไรให้พอดี ?

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานในคนท้อง ที่มีสาเหตุมาจากน้ำตาลในกาแฟอีกด้วย

ดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง อย่างที่กล่าวไป การดื่มเครื่องที่มีคาเฟอีนนั้นจะทำให้ร่างกายขับปัสสาวะบ่อยกว่าที่ควร เกิดภาวะขาดน้ำได้ การดื่มน้ำก็ช่วยทดแทนได้เช่นเดียวกัน

เปลี่ยนจาก ชา กาแฟ มาเป็น น้ำผลไม้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้เช่นกัน และยังช่วยลดอาการกระหายน้ำ จากเดิมที่เราจะชงกาแฟดื่มยามบ่าย ก็เปลี่ยนมาเป็น น้ำส้มคั่น น้ำฝรั่ง หรือ นม ก็เพิ่มความสดชื่น และ ชื่นใจได้ แถมยังดีต่อสุขภาพคุณแม่และลูกน้อยอีกด้วย

ประมาณไม่เกินวันละ 200 – 400 มิลลิกรัม หรือ 1-2 แก้วมัค คือปริมาณที่พอเหมาะต่อการบริโภค สำหรับคนทั่วไป เพราะได้มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่า ในผู้หญิงที่ดื่มกาแฟหรือชาปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวันมีโอกาสแท้งลูก หรือมีบุตรยากกว่าปกติ และในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีโอกาสที่ครรภ์จะผิดปกติมากกว่าเดิมเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นเมนูที่ไม่แนะนำสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ เพราะส่งผลเสียกับลูกน้อยมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ ควรบริโภคให้น้อยที่สุดจะดีมาก

 

 

ขอบคุณบทความดี ๆ จาก        พญ.ธิติมา เหล่าศิริรัตน์

                                     สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา

                                     โรงพยาบาลเปาโล

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #68 baby8»เมื่อ: 24 สิงหาคม 2564, 11:47:52 am »
เด็กแต่ละวัย ควรตรวจสุขภาพอะไรบ้าง ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ปี

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่



ตรวจสุขภาพ เด็กแรกเกิด ดูอะไรบ้าง?
1. ตรวจความสมบูรณ์ทั่วไปของอวัยวะภายนอก
น้ำหนัก ความยาว เส้นรอบศีรษะ เท้า ขา ข้อสะโพก เสียงปอด เสียงหัวใจ

2. ตรวจการได้ยิน
(ไม่ได้ตรวจทุกคนแต่ถ้าอยู่ในที่ที่สามารถตรวจการได้ยินได้ควรตรวจค่ะ) เนื่องจากในเด็กปกติจะพบมีความผิดปกติของการได้ยินได้ 1-2 คนต่อเด็ก 1000 คน

ที่แนะนำควรตรวจในกลุ่มเสี่ยงคือ
ตอนตั้งครรภ์ คุณแม่มีประวัติติดเชื้อไวรัส เช่น หัด ซีเอ็มวี เริม
มีประวัติบกพร่องทางการได้ยินในครอบครัว
มีความผิดปกติของรูปศีรษะ รูปหู มีติ่งหรือรูหน้าหู
หลังคลอดเด็กอยู่ ICU แล้วมีการใส่เครื่องช่วยหายใจ
มีประวัติให้ยาบางตัวที่มีพิษต่อหู

เด็กตัวเหลืองมากจนถึงต้องถ่ายเลือด
3. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์และโรค PKU 2
โรคนี้ต้องตรวจทุกคนค่ะ ทุกรพ.จะตรวจเลือดให้ก่อนลูกกลับบ้านอยู่แล้วค่ะ

4. ตรวจตา
(ไม่ได้ทำทุกคน) แต่แนะนำตรวจในกลุ่มเสี่ยง เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อตา

ตรวจสุขภาพเด็ก อายุ 9-12 เดือน ดูอะไรบ้าง?
ตรวจสุขภาพทารก

1. ตรวจความสมบูรณ์ทั่วไป
น้ำหนัก ความยาว เส้นรอบศีรษะ เท้า ขา เสียงปอด เสียงหัวใจ

2. ตรวจคัดกรองพัฒนาการ, ออทิสติก
เพื่อดูพัฒนาการของเจ้าตัวน้อย และตรวจหาความปิดปกติที่อาจเกิดแทรกซ้อน

3. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะซีดโลหิตจาง

4. ตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี
หากว่าเจ้าตัวน้อยยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบีจะได้ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันที
เฉพาะเคสกรณีแม่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้และถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีครบแล้ว ก็มีโอกาส 4 % ที่ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้นและต้องฉีดวัคซีนอีกรอบค่ะ

5. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะตะกั่วเกิน (ตรวจอายุ 9 เดือน-2 ปี)
ตรวจเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น อาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม, ในครอบครัวมีการทำอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับตะกั่ว เช่น เครื่องประดับ ช่างประปา สี เครื่องยนต์ หลอมตะกั่ว กระสุน

6. ตรวจฟันโดยหมอฟัน
โดยทั่วไปแนะนำเมื่ออายุ 1 ปี ค่ะ

ตรวจสุขภาพเด็ก อายุ 3-6 ปี ดูอะไรบ้าง?
ตรวจสุขภาพเด็ก

1. ตรวจความสมบูรณ์ทั่วไป
น้ำหนัก ความยาว เส้นรอบศีรษะ ขา เท้า เสียงปอด เสียงหัวใจ

2. ตรวจคัดกรองพัฒนาการ
เรื่องกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็ก การเรียนรู้ สมาธิ

3. ตรวจวัดความดันโลหิต
เนื่องจากเราสามารถพบภาวะความดันโลหิตสูงในเด็กได้ 1.4-6 % โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น คลอดก่อนกำหนด , โรคหัวใจแต่กำเนิด , มีติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยๆ , มีประวัติโรคไตในครอบครัว

4. ตรวจตา
ถ้าเป็นไปได้ แนะนำตรวจกับคุณหมอตาเด็กเมื่ออายุ 4-6 ปี แม้ไม่มีอาการอะไร คุณหมอตาจะตรวจหาภาวะตาขี้เกียจ ซึ่งพบได้ 2-4% ของเด็ก ตรวจค่าสายตา ตรวจการเห็นสี กล้ามเนื้อตา แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น กะพริบตาบ่อยๆ หยีตาเวลามอง เอียงหัวเวลามอง ควรไปตรวจเลยค่ะ

5. ตรวจฟัน เป็นประจำทุกปี
เพื่อดูว่าเจ้าตัวเล็กมีฟันผุหรือไม่ แปรงฟันถูกวิธีหรือไม่ เพื่อที่คุณหมอจะได้ให้คำแนะนำที่ถูกต้องเพื่อที่เจ้าตัวเล็กจะมีสุขภาพในช่องปากที่ดีและไม่มีฟันผุ


ขอบคุณข้อมูลจาก         พญ.ฐิติมา คุรุพงศ์



สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #69 baby8»เมื่อ: 25 สิงหาคม 2564, 10:34:13 am »
ไวรัสตับอักเสบเอและบี ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

 

ไวรัสตับอักเสบเอและบี ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ สามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อไวรัสหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ตับวาย

การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรคที่ได้ผลเกือบ 100% และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต

 

โรคไวรัสตับอักเสบ คืออะไร

โรคไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับ  จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี  โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ  การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับเสียหาย ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว  หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้

 

ไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A virus; HAV) สามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อไวรัส  โดยเชื้อจะเข้าฝังตัวในลำไส้ แล้วค่อยๆ กระจายไปสู่ตับ จนเกิดการอักเสบของตับหลังจากได้รับเชื้อราว 1-2 สัปดาห์ ส่งผลให้เกิดภาวะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และดีซ่าน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ตับวาย และเสียชีวิตได้

 

สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหรือฉีดวัคซีนป้องกันก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้เช่นกัน

 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรค ที่ได้ผลเกือบ 100%  และภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอจะอยู่ติดตัวไปได้ตลอด  สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มพาลูกๆ ออกไปมีกิจกรรมนอกบ้าน หรือเริ่มเข้าโรงเรียน   อาจได้รับเชื้อจากการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือสัมผัสกับเชื้อได้ง่าย โดยฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน  สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ สามารถรับการฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน โดยสามารถขอคำแนะนำหรือปรึกษาแพทย์

 

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ

ผู้ที่จะเดินทางไปยังสถานที่ ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน

 

ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ

ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ทั้งจากคน สัตว์และสิ่งแวดล้อม เช่น ผู้ดูแลผู้ป่วย หรือผู้ที่ทำงานในบ่อบำบัดน้ำเสีย

ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน

ผู้ที่ใช้ยาเสพติดทุกประเภท

ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง

บุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ

พ่อครัว แม่ครัวที่ต้องปรุงอาหารเป็นประจำ

 

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)  มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus; HBV)  ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายอย่างยิ่ง  หากได้รับเชื้อแล้วไม่ได้รับรักษา อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง  ตับวาย ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อผ่านทางการคลอด การสัมผัสเลือดหรือแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และการใช้อุปกรณ์ที่แหลมคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น  เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด หรือแปรงสีฟัน

 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

อาจเรียกได้ว่าเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งชนิดแรก เนื่องจากสามารถช่วยป้องกันมะเร็งตับ อันเกิดต่อเนื่องจากภาวะไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับถึง 80%  และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับสองของโรคมะเร็งทั้งหมด

 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  ประกอบด้วยโปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg)  ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย  สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด โดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม  หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3  หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน

 

เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  ครบ 3 เข็ม ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายสร้างภูมิคุมกันได้มากถึง  97%  และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ประมาณ 1-2 เดือน  ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี หากยังไม่มีภูมิต้านทาน  ควรฉีดวัคซีนเพิ่มตามคำแนะนำของแพทย์

 

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

ทารกแรกเกิด เด็ก และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด

ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล

ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง

ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต

ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อยๆ

ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น

ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค

ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ มีคู่นอนหลายคน

 

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสแตกต่างกัน   การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบแต่ละสายพันธุ์จะสามารถป้องกันเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ที่ฉีดเท่านั้น ดังนั้นหากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดใดควรเจาะจงชนิดของวัคซีนให้ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีรวมในเข็มเดียวกัน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดจากแพทย์หรือโรงพยาบาลที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก           นพ. ปฏิพัทธ์ ดุรงค์พงศ์เกษม

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #70 baby8»เมื่อ: 26 สิงหาคม 2564, 11:36:01 am »
ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้ 1

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 



 

ลูกไม่เล่นของเล่น –  คิดว่าคุณพ่อคุณแม่หลายบ้านอาจเคยมีประสบการณ์ที่ซื้อของเล่นให้ลูกเล่นด้วยความตั้งใจของพ่อแม่ที่อยากสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกในการเล่น แต่ความหวังพังทลายเมื่อลูกไม่เล่นตามที่เราคาดหวังไว้ วันนี้เรามาไขข้อข้องใจถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การเล่นของเล่นของเด็กๆ ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ลูกไม่ยอมเล่นของเล่นที่ซื้อให้ ชอบเล่นกับอะไรที่ไม่ใช่ของเล่น เป็นเพราะอะไรกันนะ?

 

เชื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนใช้เวลาไม่น้อยหมดไปกับการค้นคว้าเกี่ยวกับของเล่นเด็กใหม่ ๆ ที่อินเทรนด์และคิดว่าดีที่สุด และเหมือนว่าจะเหมาะสมกับการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ของเด็ก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งคือ ของเล่นทั้งหมดถูกทิ้งขว้างอยู่บนพื้น เพราะสิ่งที่ลูกต้องการเล่นด้วยในตอนนั้นกลายเป็น ขวดน้ำ รีโมทคอนโทรล ลังกระดาษ หรือตะกร้าผ้า!

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนค่ะ ว่าสาเหตุที่ลูกชอบเล่นอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ของเล่น อย่างเช่น ขวดน้ำ รีโมท กุญแจ ลังกระดาษ และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเพราะว่าจินตนาการของเด็กเล็กหรือวัยเตาะแตะนั้นมีสูงมากกว่าที่พ่อแม่คิด ไม่ว่าเราหยิบยื่นอะไรให้ หรือพวกเขาคลานต้วมเตี้ยมเดินเตาะแตะไปเจออะไรเข้าพวกเขาจะสามารถจินตนาการในการเล่นสนุกกับสิ่งนั้นๆ ได้เสมอ

 

 

และนี้คือเหตุผลที่เด็กๆ ชอบเล่นกับสิ่งของต่างๆ ต่อไปนี้ที่อยู่ในบ้าน

 
กุญแจ  ด้วยความแวววาว และ ขนาดที่พอๆ กับของเล่น เวลาหฃ่นพื้นมีเสียงที่ไพเราะ และสามารถเล่นสนุกกับการซ่อนหาในที่เล็กๆ เช่น กระเป๋าได้จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเจ้าตัวเล็กถึงได้ชอบกุญแจ


รีโมทคอนโทรล ปุ่มนุ่มๆ หลากสีสันที่แสดงไฟกะพริบเมื่อกด ทำให้รีโมทคอนโทรลเป็นของเล่นที่น่าพึงพอใจของเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามารถเปิดและปิดสิ่งอื่นๆ ได้! ยิ่งสร้างความรู้สึกมหัศจรรย์ขั้นสุดให้กับเด็กๆ ได้มาก
 

กระดาษทิชชู่ การดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องสร้างความอัศจรรย์ใจให้เด็กๆ เมื่อพวกเขาพบว่ายิ่งดึงยิ่งก็ยิ่งมีอีกชิ้นหนึ่งโผล่ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แถมทิชชู่ยังนิ่มพอที่จะฉีกเอาเข้าปากได้


ขวดน้ำ ขวดน้ำเป็นเหมือนของวิเศษสำหรับเด็กๆ ยิ่งเป็นขวดที่มีน้ำอยู่ข้างในไม่ต้องพูดถึง ด้วยลักษณะของขวดใส่ๆ บีบแล้วมีเสียงกร็อบแกร๊บ ก็เพียงพอที่จะสะกดให้เด็กสนใจได้นานหลายนาที


พาชนะต่างๆ  ช้อน ไม้พาย ชาม หม้อ และกระทะ เป็นของเล่นคลาสสิกที่กลายเป็นเครื่องดนตรีแสนสนุกได้ แค่เอามือเคาะๆ จับแล้วตีๆ ก็มีเสียงประหลาดเกิดขึ้นได้แล้ว


ลังใส่ของ ด้วยกล่องที่เต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ มากมาย ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับของเล่นใหม่มากมายมากองอยู่ตรงหน้า เป็นธรรมดาที่จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นให้ลูกได้มาก และมักจะจบด้วยการ รื้อค้น เขวี้ยงปา ยิ่งมีเสียงต่างๆ เด็กๆ ก็จะยิ่งหัวเราะชอบใจ


นอกจากนี้ สาเหตุที่ลูกไม่ยอมเล่นของเล่นที่เราซื้อให้อาจมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่


มีตัวเลือกมากเกินไป
การมีของเล่นมากเกินไป ทำให้เด็กๆ ถูกกระตุ้นเกินขอบเขต อาจทำให้เด็กสนใจที่จะเล่นน้อยลง เพราะหมดพลังไปกับการต้องใช้สมองในการคิดไตร่ตรองมากเกินไปที่จะเริ่มต้นเล่นอะไรสักอย่าง นอกจากนี้การมีของเล่นมากเกินไปจะทำให้เด็กไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ทำให้เปลี่ยนความสนใจไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วหรือละความสนใจได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะมีของเล่นเพียงชิ้นเดียว เราก็สามารถหาวิธีการต่างๆ ให้ลูกเล่นสนุกได้ ไม่ว่าจะเป็นเศษไม้ชิ้นเดียว หรือฝากาน้ำเก่าๆ สำหรับเด็กเล็กแล้วอาจเป็นของเล่นที่สนุกสนานกว่าของเล่นราคาแพงตามห้างสรรพสินค้าเสียอีก


พื้นที่ในการเล่นไม่เพียงพอ
การมีพื้นที่โล่งๆ สำคัญอย่างยิ่งในการที่เด็กๆ จะมีพื้นที่ในการจินตนาการ สร้างสรรค์ และสำรวจ ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ แค่พื้นที่ที่พวกเขามีอิสระเพียงพอในการครอบครองและสามารถจัดแจงย้ายของเล่นไปมาเพื่อสร้างหอคอยหรือเมืองต่างๆ  พยายามรักษาพื้นที่เปิดโล่งในบ้านอย่างน้อยหนึ่งจุดให้ปลอดโปร่งเปรียบเหมือนดั่งกระดาษแผ่นใหม่ที่รองานศิลปะ หากคุณไม่มีพื้นที่ที่คิดว่าเหมาะสมในบ้าน ให้ลองสร้างพื้นที่เปิดโล่งให้มากขึ้นในห้องเพื่อส่งเสริมการเล่นปลายเปิดให้ลูก


การมีส่วนร่วมของพ่อแม่
บางครั้งพ่อแม่ไม่ได้มีส่วนร่วมเพียงพอ หรือในทางกลับกัน อาจมีส่วนร่วมมากเกินไป จริงอยู่ที่เราเป็นเพื่อนเล่นคนแรกของลูก แต่เราต้องให้พื้นที่พวกเขาในการเรียนรู้และเติบโตด้วย ควรให้เด็กๆได้ใช้เวลาสักสองสามนาทีในการมองหาและเล่นของเล่นด้วยตัวเองในโอกาสต่างๆ ก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยหรือร่วมเล่นด้วยพวกเขาจะมีโอกาสได้เรียนรู้ที่จะเล่นด้วยตัวเอง เมื่อลูกเรียกร้องให้เรามีส่วนร่วมก็เป็นโอกาสที่เราจะสร้างบทสนทนากับลูกเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเล่น สนับสนุนให้ลูกอธิบายกระบวนการคิดของพวกเขาโดยไม่ขัดขวางจินตนาการ


สมองของเด็กเติบโตอย่างรวดเร็ว
เมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ สมองของพวกเขามีถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของสมองผู้ใหญ่ ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ลูกของคุณอาจเบื่อของเล่นที่เราเพิ่งซื้อให้ใหม่หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน หากเกิดเหตุการณ์นี้ การใช้วิธีหมุนเวียนของเล่นจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ค่ะ


ของเล่นไม่เหมาะสมกับวัยของลูก
เป็นไปได้ว่าของเล่นที่หยิบยื่นให้อาจยังไม่เหมาะกับวัยหรือพัฒนาการของลูก ความเหมาะสมกับวัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถตอบโจทย์ได้ว่าเด็กจะชอบของเล่นมากน้อยแค่ไหน ทางที่ดีควรพิจารณาช่วงอายุที่ผู้ผลิตแนะนำเพื่อเป็นแนวทางแต่บางครั้งก็ไม่ต้องยึดติดกับตัวเลขเสมอไป หากเรารู้จักความสามารถและพัฒนาการของลูกเป็นอย่างดี  อย่างไรก็ตามการเลือกของเล่นให้ลูกต้องคำนึงถึงพัฒนาการเป็นหลัก ต้องรู้ว่าลูกพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับของเล่นชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้แล้วหรือยัง ทางที่ดีพ่อแม่ควรเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะต่างๆ ของเด็กเล็กที่พัฒนาในแต่ละช่วงวัย ก่อนการช้อปปิ้งของเล่นในครั้งต่อไป

 



ขอบคุณข้อมูลจาก amarinbabyandkids.com

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #71 baby8»เมื่อ: 27 สิงหาคม 2564, 10:44:00 am »
ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้ 2


ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้ 2


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
 


วิธีรับมือเมื่อลูกไม่เล่นของเล่น

เล่นให้ดู เมื่อลูกของคุณได้ของเล่นชิ้นใหม่ ให้ทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่างว่าเล่นอย่างไร คุณควรให้คำแนะนำและความช่วยเหลือแบบใช้มือ เพื่อสอนและส่งเสริมให้ลูกของคุณเล่นกับของเล่นใหม่อย่างเหมาะสม

 

ให้เวลาลูก หากลูกของคุณไม่สนใจของเล่นทันทีหลังจากที่คุณแนะนำมัน หรือเสียสมาธิขณะเล่น ลองให้เวลากับลูกมากขึ้น เพื่อสำรวจและค้นพบของเล่นในแบบของตัวเองแทนในแบบที่คุณต้องการให้เป็น  การปล่อยให้เด็กพัฒนาความสนใจในบางสิ่งบางอย่างในเวลาของตนเองจะส่งผลให้มีการเล่นที่เป็นอิสระมากขึ้นและการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

ชื่นชม เมื่อลูกของคุณเล่นกับของเล่นอย่างเหมาะสม ควรชื่นชมและบอกให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาทำได้ดี ตัวอย่าง เช่น  ต่อบล็อกเก่งจัง ทำได้ดีมากลูก

 

สร้างเรื่องราว พ่อแม่สามารถสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีที่เควรและไม่ควรเล่นกับของเล่น สอนวิธีการที่เหมาะสมในการเล่นกับของเล่นและเหตุผลที่เราควรเล่นกับของเล่นแต่ละชิ้นให้ลูกได้เข้าใจ

 

ผลัดเปลี่ยนของเล่น หากลูกของคุณยังคงเพิกเฉยต่อของเล่นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ให้นำของเล่นออกจากมุมของเล่น และเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าหรือที่เก็บของที่ลูกของคุณไม่เห็นมัน แล้วลองเสนอให้ลูกเล่นอีกครั้งในสองสามสัปดาห์ถัดไป คุณอาจพบว่าของเล่นที่ก่อนหน้านี้ถูกละเลยอาจกลายเป็นของเล่นชิ้นโปรดชิ้นใหม่ได้ โดยที่ลูกของคุณได้พัฒนาทักษะใหม่ๆ และสามารถรับมือกับความท้าทายที่ของเล่นนำเสนอได้ดียิ่งขึ้น วิธีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของเล่นนี้ช่วยในการสร้างของเล่นใหม่อีกครั้ง ช่วยยืดอายุของของเล่น และช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้จากของเล่นแต่ละชิ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเล่นพร้อมแล้ว

 

เข้าใจเมื่อลูกไม่พร้อม เด็กบางคนอาจยังไม่พร้อมสำหรับพัฒนาการที่จะเล่นกับของเล่นชิ้นใดชิ้นหนึ่ง แม้ว่าผู้ผลิตจะจำกัดอายุไว้ก็ตาม  ของเล่นจะสนุกยิ่งขึ้นสำหรับทั้งคุณและลูก เมื่อลูกสามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกของคุณเล่นของเล่นได้อย่างปลอดภัย อย่าลืมทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง หมั่นให้ลูกฝึกฝน และชมเชยเสมอ และถ้าจำเป็นอย่าลังเลที่จะนำของเล่นออกไปเก็บไว้จนกว่าลูกของคุณจะสามารถเล่นกับมันได้อย่างเหมาะสม

 

แม้การเลือกของเล่นสำหรับเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเด็กแต่ละคนมีความสนใจที่แตกต่างกัน ไปบางครั้งของเล่นที่พ่อแม่เห็นว่าเหมาะกับลูก เด็กอาจไม่สนใจ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป หากเรารู้วิธีในการเลือกของเล่นที่เหมาะสมให้กับลูกด้วยความเข้าใจในพัฒนาการและความต้องการของลูกตลอดจนทักษะต่างๆ ที่ลูกมี เมื่อลูกสนุกไปกับของเล่นที่อยู่ตรงหน้า สามารถเล่นได้อย่างถูกวิธี ก็จะเป็นการเสริมสร้างทักษะความฉลาดที่รอบด้าน

 

คุณพ่อคุณแม่ ลองดูว่าเจ้าตัวน้อยที่บ้านเป็นเพราะอะไรถึงไม่ค่อยชอบเล่นของเล่นที่ซื้อให้แล้วลองหาสาเหตุที่ได้กล่าวไปข้างต้น คุณพ่อคุณแม่ก็นำมาปรับใช้กับเจ้าตัวน้อยดูค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวน้อยที่เล่นของเล่นอย่างสนุกสนานไปพร้อมๆกับคุณพ่อคุณแม่อย่างมีความสุขค่ะ

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก amarinbabyandkids.com

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #72 baby8»เมื่อ: 30 สิงหาคม 2564, 12:07:14 pm »
8 ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทำได้ตอนลูกหลับ

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่



คุณแม่คนไหนที่อยากจะผอมแบบดูดี นอกจากจะต้องคอยหมั่นออกกำลังกายเพื่อเบิร์นไขมันแล้ว การออกกำลังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อก็เป็นอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันนะครับ เพราะนอกจากจะช่วยกระชับรูปร่างให้ดูสมส่วนแล้ว การกระชับกล้ามเนื้อยังช่วยลดอาการผิวเหี่ยวและหย่อยคล้อยหลังคลอดบุตร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คุณแม่ๆ หลายคนหันมาใส่ใจการออกกำลังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อกันมากขึ้น ซึ่งการออกกำลังเพื่อกระชับกล่ามเนื้อนั้นทำได้หลายวิธีนะครับ เช่น การเล่นโยคะ ก็ถือเป็นการออกกำลังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงการเล่นโยคะยังถือเป็นการออกกำลังเพื่อลดไขมันได้ด้วยค่ะ เรียกได้ว่า มีประโยชน์ถึง 2 ต่อเลยทีเดียว

          8 ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทำได้ตอนลูกหลับ แค่ 30 นาที สุขภาพดีๆจะกลับคืนมา แต่ต้องเซฟร่างกายของตัวเองโดยการหาอุปกรณ์รองรับการออกกำลังกาย เช่น เสื่อโยคะ เพราะเสื่อโยคะจะมีความยืดหยุ่นในตัวเองที่ค่อนข้างสูง ทำให้สามารถช่วยซับและกระจายแรงกดได้เป็นอย่างดี สามารถมากถ่ายเทน้ำหนักหรือกดน้ำหนักลงมาที่เสื่อ เสื่อก็จะทำหน้าที่คอยซัพพอร์ตและกระจายแรงกดลงสู่พื้นทำให้ผู้เล่นลดโอกาสการได้รับบาดเจ็บตามส่วนต่างๆ อย่างเช่น เข่า ขอศอก หลัง สะโพกหรือหัวเขาได้ด้วยนะคะ


1. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าสวอต (Squat)
 วิธีทำท่าสควอช (Squat)   

- ยืนตัวตรง แยกขาออกประมาณช่วงหัวไหล่
- ย่อตัวลงไปคล้ายๆ กับกำลังจะนั่งบนเก้าอี้ เข่าต้องไม่เลยปลายเท้า
- เกร็งหน้าท้องไว้ด้วย จุดส้นเท้าเป็นจุดที่รับน้ำหนัก
- นับ 15-20 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต ระหว่างเซ็ต พักประมาณ 1 นาที
- ทำวันละ 4-5 เซ็ต


2. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าเกร็งหน้าท้อง (V Ups)
 วิธีทำท่าเกร็งหน้าท้อง (V Ups)

- นอนหงาย ตั้งศอกกับพื้น ฝ่ามือวางข้างลำตัว จากนั้นเกร็งหน้าท้อง
- พร้อมยกขาทั้งสองข้างขึ้นจากพื้น
- ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 15 ครั้ง


3. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าตรีโกณ (Triangle Pose)
 วิธีทำท่าตรีโกณ (Triangle Pose)

- ยืนตัวตรง โดยให้มือทั้ง 2 ประสานกันไว้ หายใจเข้าลึกๆ
- หายใจออกแล้ววางมือขวาลงกับพื้น โดยให้ขนานกับเท้าซ้าย ส่วนมือซ้ายเหยียดชี้ขึ้นฟ้าโดยให้ขนานกับหัวไหล่
- แหงนหน้าขึ้นมองไปยังที่ปลายนิ้วมือข้างซ้าย พยายามเปิดอกเปิดไหล่หรือยืดหลังให้ตรง ให้ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง มากกว่าลงน้ำหนักไปที่ฝ่ามือขวาที่วางราบกับพื้น
- ทำค้างไว้ 30-60 วินาที โดยหายใจเข้าและหายออกตามปกติ จากนั้นก็กลับมาสู่ท่ายืนตรงเหมือนตอนเริ่มต้นแล้วทำสลับข้าง


4. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าสะพาน (Bridge Pose)
วิธีทำท่าสะพาน (Bridge Pose)

- หายใจออกนอนหงายโดย งอเข่าทั้งสองข้าง ดึงเท้าทั้งสองข้างมาชิดที่ก้นผ่าเท้าติดพื้น
- หายใจเข้าวางมือทั้งสองข้างแนบพื้น นิ้วชี้มาที่ไหล่ กดฝ่ามือ เหยียดข้อศอก ยกลำตัวขึ้น
- ขณะที่หายใจออกเลื่อนเท้าทั้งสองข้างเข้าหาลำตัว พร้อมกับยกลำตัวและสะโพกสูงจากพื้น หายใจเข้าออก 2-3 ครั้ง
- ยกลำตัวสูงขึ้นในท่าสะพานโค้ง แอ่นเอว ลำตัวและหลังให้มากที่สุด ศีรษะหงายไปทางหลัง
- ทำค้างไว้ 10-15 วินาทีทำซ้ำ 3-10 ครั้ง


5. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่านั่งก้มต้ว (Forward Bend)
วิธีทำท่านั่งก้มต้ว (Forward Bend)

- นั่งหลังตรง กางขาเป็นวงแหวน ให้ฝ่าเท้าหันเข้าหากัน
- ก้มตัวไปด้านหน้า ให้ศีรษะก้มลงติดพื้นมากที่สุด แขนเหยียดตรงไปด้านหน้า
 - ค้างท่าไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง


6. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าก้มหลัง (Downward-Facing Dog)
วิธีทำท่าก้มหลัง (Downward-Facing Dog)

-  โค้งลำตัวราบกับเสื่อโยคะและวางมือลงบนเสื่อโยคะในลักษณะที่มือวางล้ำช่วงไหล่พอประมาณ
- ยกลำตัวและก้นขึ้น พยายามให้หลัง ขาและแขนเหยียดตรงที่สุด
- สูดลมหายใจเข้า-ออก 5-10 ครั้ง
- กลับสู่ท่าเริ่มต้น และทำซ้ำอีกประมาณ 5-7 เซต


7. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าดันพื้น (Push up)
วิธีทำท่าดันพื้น (Push up)

- นอนคว่ำ วางมือ ข้างชายโครงในท่าฝ่ามือดันพื้น งอข้อศอก เท้าทั้งสองชิดกัน ปลายนิ้วยันบนพื้น
- หายใจเข้าเหยียดข้อศอกให้ตึง ลำตัวเหยียดตรง คอยืดขึ้น ส่วนคอไหล่สะโพกและเท้าอยู่ในแนวเดียวกัน
- ค้างท่านี้ไว้ 30 วินาที -1 นาทีแล้วคลายท่า


8. ท่าง่ายๆฉบับคุณแม่ : ท่าแอ่นหลัง (Cobra Pose)
วิธีทำท่าแอ่นหลัง (Cobra Pose)

- นอนคว่ำ
- มือวางข้างอก ข้อศอกแนบลำตัว
- กดดันขา หน้าแข้ง หลังเท้า ราบกับพื้น
- ยกแผ่นอกขึ้น เหยียดลำตัว ยืดคอ เงยคาง


ท่าออกกำลังกายแต่ละท่าเป็นท่าง่ายๆ ให้คุณแม่ออกกำลังกายในช่วงที่เจ้าตัวน้อยนอนหลับ และยังช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงกลับมามีหุ่นฟิตและเฟิร์มได้เร็วขึ้นค่ะ แถมยังช่วยลดความเครียดเพราะการออกกำลังกายอีกด้วยค่ะ




ขอบคุณข้อมูลจาก            atomubypsw.com




สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #73 baby8»เมื่อ: 02 กันยายน 2564, 11:15:13 am »
การป้องกันไวรัสโคโรน่า สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

การป้องกันไวรัสโคโรน่า สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่



อาการของผู้ที่เป็นโรคนี้

 

อาการที่แสดงออกของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลยแต่สามารถแพร่เชื้อได้ บางรายมีอาการไอ บางรายมีไข้ และไอมีเสมหะ ผู้สูงวัยอาจจะมีไข้และหายใจเร็ว หอบ จากปอดบวม และเมื่อป่วยรุนแรง จะหายใจเร็ว หอบ จนเสียชีวิตได้ จากข้อมูลที่มี พบว่าเด็กก็พบมีการติดเชื้อไวรัสนี้ได้ แต่อาการจะไม่รุนแรงเหมือนกับผู้สูงอายุ

 

การแพร่เชื้อ สามารถติดต่อได้โดยทางใดบ้าง

 

ผ่านทางฝอยละออง โดยฝอยละอองขนาดใหญ่ (droplet) และฝอยละอองขนาดเล็ก (เล็กกว่า 5 ไมครอนเรียกว่า aerosol) สูดเข้าไปในทางเดินหายใจ ถ้าอยู่ใกล้ผู้ที่ป่วยในระยะ 1-2 เมตรจะติดเชื้อจากการสูดฝอยละอองขนาดใหญ่และฝอยละอองขนาดเล็กจากการไอจามรดกันโดยตรง
 

แพร่เชื้อโดยการสัมผัส
เช่น การจับมือกันหรือมือจับของใช้สาธารณะร่วมกัน แล้วมา จับบริเวณใบหน้าของตนเอง
 

การแพร่ทางอุจจาระ อาจมีความเป็นไปได้เพราะเชื้อออกมาทางอุจจาระได้ด้วย ดังนั้นเวลากดชักโครก จึงควรปิดฝาชักโครก และล้างมือทุกครั้ง
 

วิธีป้องกันตัวคุณแม่และเจ้าตัวน้อยจากไวรัส COVID-19

 

1.อยู่ห่างจากผู้ป่วยหรือผู้ที่มีอาการไออย่างน้อย 2 เมตร เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสูดฝอยละอองขนาดใหญ่
 

2.ปิดปากและจมูกขณะไอหรือจาม โดยไอหรือจามลงใส่ข้อพับแขนด้านในหรือบนกระดาษทิชชู และทิ้งกระดาษที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิด และล้างมือให้สะอาด
 

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสเยื่อบุบริเวณใบหน้า (ตา จมูก ปาก) ด้วยมือที่ไม่ได้ล้าง
 

4.ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือแอลกอฮอล์เจล (อย่างน้อย 60 %แอลกอฮอล์) อย่างน้อย 20 วินาที หลังไอ จาม, ก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้า, หลังเข้าห้องน้า, ก่อนรับประทานอาหาร และหลังการจับหรือใช้ของสาธารณะร่วมกัน
 

5.การสวมหน้ากากอนามัยแบบทั่วไปเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อจากฝอยละอองขนาดใหญ่เมื่อเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในที่ชุมชน เช่น บนรถโดยสาร และสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อมีอาการไม่สบาย
 

6.หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ชุมนุมที่มีคนเป็นจำนวนมาก
 

7.รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง
 

8.หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาด
 

9.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการคล้ายหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
 

10.ไปพบแพทย์หากมีไข้ ไอ หรือรู้สึกหายใจลำบาก

 

สารทำความสะอาดที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนาได้ คือ

 

1.70 % ethyl alcohol เช่น สเปรย์ และ เจลล้างมือ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มากกว่า 70% ขึ้นไป
 

2.Sodium hypochlorite ( 0.1-0.5 %) สารฟอกขาว หรือ น้ำยาทำความสะอาดอย่าง Clorox และ Haiter
 

3.1 % povido iodine หรือ น้ำยาทำลายเชื้ออย่าง ไอโอดีน และ เบตาดีน
 

4.0.12 % Chloroxylenol หรือ สารฆ่าเชื้อที่อยู่ใน Dettol เฉพาะสูตรที่ใช้กับผิวหนัง และล้างแผลได้เท่านั้น
 

เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ยังไม่มียารักษาและวัคซีน คุณแม่คุณพ่อและเจ้าตัวน้อยจึงควรดูและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดในช่วงที่ยังมีการระบาดของไวรัสนี้อยู่ เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ และเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของคุณแม่ เจ้าตัวน้อยและทุกคนในครอบครัวค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นล้างมื้อบ่อยๆ

 

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณหมอแอน พญ.ปิยะรัตน์ เลิศบรรณพงษ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #74 baby8»เมื่อ: 03 กันยายน 2564, 11:02:32 am »
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เกี่ยวกับ โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เพื่อป้องกันเจ้าตัวน้อยให้ปลอดภัย


วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่



โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “การระบาดใหญ่” หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคของโลก จากการแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น (Wuhan) มณฑลหูเป่ย (Hubei) ประเทศจีน เริ่มจากช่วงปลายปี ค.ศ. 2019 จนถึงปัจจุบัน



 

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 ‘สายพันธุ์ใหม่’ คืออะไร

Severe acute respiratory syndrome coronavirus (SARs-CoV-2) คือ เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่

 

ไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสชนิดใหม่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับตระกูลของไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง รวมทั้งโรคหวัดธรรมดาบางประเภท

 

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 แพร่กระจายได้อย่างไร


เชื้อไวรัสถ่ายทอดผ่านการสัมผัสโดยตรงกับฝอยละออง(Droplet) จากลมหายใจของผู้ติดเชื้อ (ที่เกิดจากการไอและจาม) การสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน ไวรัส COVID-19 อาจอยู่รอดบนพื้นผิวเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ก็ถูกทำลายได้ด้วยสารฆ่าเชื้อทั่วไป

 

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 มีอาการอย่างไร

องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า โควิด-19 จะมีอาการเริ่มแรกคือ มีไข้ ตามมาด้วยอาการไอแห้งๆ หลังจากนั้นราว 1 สัปดาห์จะมีปัญหาหายใจติดขัด ผู้ป่วยอาการหนักจะมีอาการปอดบวมอักเสบร่วมด้วย หากอาการรุนแรงมากอาจทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว

 

ขณะที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า หากผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงการระบาดของโรคมีอาการไข้ ร่วมกับอาการทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพบแพทย์ทันที

 

อาการดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคหวัดธรรมดาซึ่งพบได้บ่อยกว่าโควิด-19 และนี่คือเหตุผลที่จะต้องทำการทดสอบเพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ทั้งนี้ โรคเหล่านี้ใช้หลักเดียวกันในการป้องกัน นั่นก็คือการล้างมือบ่อยๆ และดูแลสุขอนามัยทางเดินหายใจ (ไอ-จามใส่ข้อพับแขนด้านใน หรือบนกระดาษทิชชูและทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด)

 

 

Check list อาการแบบไหน เข้าข่ายเสี่ยงโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

ข้อควรปฏิบัติ 6 ประการ เพื่อป้องกันตนเองและครอบครัวจากการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19


1.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่
2.ทำความสะอาดด้วยเจลล้างมือที่ผสมแอลกอฮอล์
3.ปิดปากและจมูกขณะไอหรือจาม โดยไอหรือจามลงใส่ข้อพับแขนด้านในหรือบนกระดาษทิชชู
4.หลีกเลี่ยงการสัมผัส ตา จมูก ปาก ของตนเอง
5.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการคล้ายหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
6.ฆ่าเชื้อสิ่งของที่อยู่ในบ้านหรือบริเวณที่จับบ่อยๆสม่ำเสมอ
 

ข้อควรประปฎิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 มีผลกระทบต่อเด็กหรือไม่

โรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นไวรัสชนิดใหม่ที่ยังมีข้อมูลไม่มากพอถึงผลกระทบของเชื้อไวรัสชนิดนี้ที่มีต่อเด็กหรือสตรีมีครรภ์ แต่จนถึงปัจจุบันนี้ก็มีรายงานการติดเชื้อโควิด-19ในเด็กเพียงไม่กี่ราย ทั้งนี้มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยที่เป็นโรคแทรกซ้อนอยู่ก่อนแล้ว

 

ช่วงนี้อาจะเป็นช่วงปิดเทอมอาจไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมข้างนอกได้ แต่อย่างที่ทราบกันดีกว่าการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 ยังไม่สามารถสรุปได้ 100% ว่า คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์, เด็ก มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสมากไปกว่า “คนทั่วไป” อาจจะต้องหยุดกิจกรรมนอกบ้านไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และเด็กไปก่อน เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะหากิจกรรมหรือสิ่งที่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการเหมือนได้เล่นนอกบ้านหรือกิจกรรมต่างๆในช่วงวิกฤตินี้ เช่น ของเล่นเสริมความรู้ ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเล่นเสริมสร้างประสาทสัมผัสทั้ง5 ของเล่นเสริมสมาธิ

 

ควรทำอย่างไรหากลูกมีอาการของโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

คุณควรไปพบแพทย์ อย่างไรก็ดี ช่วงนี้เป็นฤดูไข้หวัดใหญ่ในซีกโลกเหนือ และอาการของโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เช่นไอหรือมีไข้นั้นคล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้หวัดธรรมดาหรือโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งพบบ่อยกว่ามาก และเช่นเดียวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เช่นไข้หวัดใหญ่

 

เมื่อลูกมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ และหลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่สาธารณะ (ที่ทำงาน โรงเรียน ขนส่งสาธารณะ) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

 

ความเสี่ยงในการเป็นโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19


ถ้าติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 กลุ่มคนที่มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่า ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และอาจจะรวมถึงผู้ชายด้วย

การวิเคราะห์ขนาดใหญ่ครั้งแรกในผู้ติดเชื้อมากกว่า 44,000 ในประเทศจีน พบว่า อัตราการเสียชีวิตในผู้สูงอายุสูงกว่าคนวัยกลางคนถึง 10 เท่า

– อัตราการเสียชีวิตในคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ต่ำที่สุด โดยมีผู้เสียชีวิต 8 คนในจำนวนผู้ติดเชื้อ 4,500 คน

– ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาในการหายใจ มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนปกติอย่างน้อย 5 เท่า

– ผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

 

วิธีป้องกันโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 อย่างไรได้บ้าง?

ควรกินร้อน ช้อนตัวเอง กินอาหารปรุงสุก ล้างมือบ่อยๆ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนแออัด หรือหากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกที่มีคนพลุกพล่าน พยายามยืนห่าง 2 เมตร และควรสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา

 

วิธีป้องกันโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงและได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ซึ่งหลายหน่วยงาน ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย มีการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลเพื่อรับมือและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์มีความสุ่มเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป เพราะอยู่ในพื่นที่เสี่ยงกับผู้ป่วยและมีการใกล้ชิดกับผู้ที่ไอ จามโดยตรง

 

ดังนั้นการหาความรู้และความเข้าใจต่อการระบาดโรคไวรัสโคโรน่า โควิด-19 จึงมีความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อและเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกจนเกินไป จนเกิดกระแสการต่อต้านผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อโดยเฉพาะชาวจีนและผู้ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีเชื้อไวรัสดังกล่าว

 

ทั้งนี้การป้องกันตนเอง เช่น การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสวมใส่หน้ากากอนามัยก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ และติดอาวุธทางความคิดเพื่อสร้างความเข้าใจและไม่ตื่นตระหนกในสถานการณ์ปัจจุบันจึงมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

 

อย่าลืมสังเกตตัวเองและคนรอบข้าง หากท่านใดมีอาการมีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา, ไอ เจ็บคอ, น้ำมูกไหล, หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก

หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ด่วนค่ะ

 

 

 

ขอบคุณบทความจาก             UNICEF

 

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

 
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #75 baby8»เมื่อ: 06 กันยายน 2564, 12:38:20 pm »
5 ข้อดี ของการกอดเจ้าตัวน้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความผูกพันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และเจ้าตัวน้อย

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

การกอดเจ้าตัวน้อยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้ทั้งผู้ให้และผู้รับมีความสุขมากขึ้น เพราะการกอดไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา คุณแม่คุณพ่อจะรับรู้ความรู้สึกนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการกอดเจ้าตัวน้อยแบบไหน ทั้งกอดแบบชื่นชมยินดี กอดปลอบโยน รวมทั้งการกอดลูกแนบอกเป็นครั้งแรก



 

การกอดเจ้าตัวน้อยอย่างสม่ำเสมอ มีมนต์วิเศษอย่างหนึ่ง คือแค่กอดกันแน่นๆ เสียงจังหวะหัวใจของแม่ที่แสนคุ้นเคยจะขับกล่อมให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกผ่อนคลาย หลายๆครอบครัว มักจะไม่ค่อยแสดงออกถึงความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อลูกด้วยการโอบกอด แต่ปัจจุบันพ่อแม่รุ่นใหม่เริ่มแสดงออกความรักต่อลูกด้วยการกอดลูกมากขึ้น การกอดทารกอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ลูกอยู่ในวัยแรกเกิดจนเขาเติบโตขึ้น จะส่งผลดีให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กอย่างไร วันนี้้น้องอะตอมมุมีข้อดีของ การกอดเจ้าตัวน้อยมาฝากกันค่ะ

 

1.การกอดเจ้าตัวน้อยตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาลืมตาดูโลก

นับตั้งแต่เจ้าตัวน้อยออกมาลืมตาดูโลก เขาต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากระหว่างโลกที่เขาอยู่มา 9 เดือน (ในท้องคุณแม่) กับโลกภายนอกที่ทั้งสว่างกว่า อุณหภูมิที่ไม่คงที่หรือเย็นเกินไป ทำให้เจ้าตัวน้อยกลัว นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมทารกแรกเกิดจึงร้องไห้เสียงดังและจะเงียบลงเมื่อได้รับความอบอุ่นและการโอบกอดของคุณแม่คุณพ่อ

การกอดเจ้าตัวน้อยและสัมผัสลูกตั้งแต่แรกเกิด แม้ลูกจะยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนกอดเขา แต่การกอดลูกเป็นการช่วยให้ทารกรู้สึกอุ่นสบายและมั่นคงปลอดภัยมากขึ้นหลังจากต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขณะคลอด

 

2.การกอดทารกในช่วง 6 เดือนแรก

ในช่วงเดือนแรกๆ สายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับคุณพ่อคุณแม่จะเริ่มถักทอมากขึ้น ยิ่งถ้าเป็นลูกคนแรกด้วย คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เชื่อได้เลยว่าคงจะเห่อลูกแน่ๆ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นรูปแบบความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างแม่กับลูก ซึ่งหากเด็กที่ได้รับความผูกพันทางอารมณ์อย่างดีตั้งแต่แรกเกิด จะส่งผลต่อการพัฒนาการทางอารมณ์ของลูกเมื่อเขาเติบโตขึ้น เด็กที่มีความผูกพันทางอารมณ์ที่ดีกับคุณแม่ตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเขาเติบโตขึ้น พัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเขาจะดีกว่า เขาจะเป็นเด็กร่าเริง และมีภาวะทางอารมณ์ที่ดีกว่า

การกอดทารกในช่วงแรกเกิดถึง 6 เดือนแรกนั้น คุณแม่จะโอบกอดลูกทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งผ่านการให้นมลูก โปรดจำไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่เจ้าตัวน้อยกำลังดูดนมจากอกของคุณแม่นั้น หากคุณแม่พูดคุยและสัมผัสตัวเขา แสดงออกว่าคุณรักเขามากแค่ไหน ทารกน้อยจะสามารถรับรู้และสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นได้ และสายสัมพันธ์ของคุณแม่กับลูกจะทวีความแน่นแฟ้นมากขึ้น และส่งผลให้พัฒนาการด้านอารมณ์ของลูกจะดีขึ้นด้วย

 

3.การกอดทารกในช่วง 7 เดือน ถึง 1 ขวบครึ่ง

ในช่วงที่ลูกอายุ 7 เดือนเป็นต้นไป ทุกสิ่งรอบตัวของเขาจะเป็นตัวกระตุ้นความสนใจของเขาได้เป็นอย่างดี ลูกจะพยายามหยิบจับ คว้า ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง และแน่นอนว่าเขาจะเริ่มเล่น ยิ้ม หัวเราะกับคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น ยิ่งพอถึงวัยที่เขาเริ่มนั่ง, ลุกขึ้นเดิน ทุกย่างก้าวของการพัฒนาการของเขา หากคุณพ่อคุณแม่คอยอยู่ข้างๆ เขา การกอดทารกอย่างสม่ำเสมอ คอยให้กำลังใจและชื่นชมในความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของลูก ลูกจะเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีความมั่นใจและมองโลกในแง่ดี เป็นเด็กที่มีภาวะอารมณ์ที่ดี

ทารกที่ได้รับการกอดอย่างสม่ำเสมอ จะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายและภาวะทางด้านอารมณ์จะดีกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยคนอื่น (เช่นพี่เลี้ยง) ซึ่งบ่อยครั้งจะเห็นว่า เด็กที่เลี้ยงโดยผู้อื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่มักจะมีภาวะทางอารมณ์ไม่ดีนัก

 

4.การกอดทารกหลัง 1 ขวบครึ่ง – 3 ขวบ

หากคุณแม่ได้กอดเจ้าตัวน้อยมาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่แรก เมื่อลูกเข้าสู่วัยนี้ เขาก็ยังคงอยากให้คุณกอด ให้หอมเขาเหมือนเดิม แต่หากตลอดเวลาคุณแทบจะไม่เคยโอบกอดเขา ไม่เคยหอมเขา แล้วจะมาโอบกอดเขา เขาอาจจะไม่ยอมให้คุณโอบกอดเขาแล้ว เนื่องจากว่าเด็กในวัยนี้จะเริ่มสนใจโลกภายนอกมากขึ้น และเขาก็ไม่เคยได้รับความผูกพันที่ดีจากพ่อแม่ เขาจึงสนใจสิ่งรอบตัวมากกว่าพ่อแม่

แต่ถ้าลูกเติบโตมาพร้อมกับความผูกพัน การกอดทารกนั้น จะเป็นความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อเขา แน่นอนว่าเขาจะเป็นเด็กที่สนใจในสิ่งรอบตัวเช่นกัน แต่เขาจะเป็นเด็กที่มั่นใจเพราะรู้ว่าคุณอยู่เคียงข้างเขาตลอด ลูกจึงเติบโตเป็นเด็กที่มีทัศนะคติที่ดี อารมณ์ดี และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง

 

5.การกอดทำให้เจ้าตัวน้อยรู้วิธีแสดงความรัก
เมื่อลูกได้รับการกอด เขาก็จะเชื่อมโยงได้เองว่าการกอดสัมพันธ์กับความรักที่เขาสัมผัสได้ แล้วเขาจะเรียนรู้เองว่า การกอดก็เป็นวิธีแสดงความรักที่เขาจะบอกคุณได้เช่นกัน ยังจำได้ไหมคะ ครั้งแรกที่เจ้าตัวน้อยยื่นมือโผเข้าหาคุณ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ

 

ยังไงการกอดเจ้าตัวน้อย ไม่ว่าจะเป็นตอนแรกเกิดหรือโตแล้วก็ตาม มันก็คือการแสดงออกถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป หากคุณไม่ได้ดูแลเขา ไม่ได้กอดเขาตั้งแต่แรกเกิดแล้ววันนี้เขากลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ดื้อและเอาแต่ใจ เริ่มกอดลูก พูดและแสดงออกให้เขาเห็นว่าพวกคุณรักเขา ห่วงเขา มากแค่ไหน จิตใจของลูกยังไงเขาก็ต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ แม้ว่าการเริ่มต้นโอบกอดลูกเมื่อเขาเติบโตแล้ว อาจจะแปลกๆ ในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อคุณทำอย่างต่อเนื่อง ลูกจะรับรู้และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงภาวะด้านอารมณ์ได้ดีขึ้น น้องอะตอมมุเป็นกำลังใจให้คุรพ่อคุณแม่และลูกน้อยทุกคน

 

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของประโยชน์ในการกอดเจ้ตัวน้อย เปรียบเสมือนยาขนานเอกที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้เพื่อลูกรักของคุณและอยากกอดโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว การกอดทารกจะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นได้ สุขภาพดีขึ้น ความห่วงใย เสริมสร้างความรัก ความผูกพันในครอบครัว และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กัน

 

ดังนั้น หากเราไม่ได้ใช้การกอดทารกในช่วง 3 ปีแรก นอกจากจะทำให้เขาเติบโตมาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการด้านอารมณ์ไม่ดีแล้ว การจะเริ่มต้นกอดลูกในภายหลัง จะค่อนข้างยากด้วย

 

ถ้าเราไม่ได้กอดเขาตั้งแต่แรก… กอดลูกวันนี้จะทันไหม ?


ไม่ว่าอย่างไรการกอดเจ้าตัวน้อย ตั้งแต่แรกเกิดหรือตอนเติบโต ก็คือการแสดงออกถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป หากคุณไม่ได้ดูแลเขา หรือไม่ได้กอดเขาตั้งแต่แรกเกิดแล้ววันนี้เขากลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ดื้อและเอาแต่ใจ คุณควรเริ่มจากการพูดคุย สัมผัสตัวลูก โอบกอด เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าพวกคุณรักและห่วงใยเขามากแค่ไหน เพราะไม่ว่าอย่างไรจิตใจของลูกก็ต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ แม้ว่าการโอบกอดลูกเมื่อเขาเติบโตแล้ว อาจจะขัดเขินในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อคุณทำอย่างต่อเนื่อง ลูกจะรับรู้และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงมีภาวะด้านอารมณ์ดีขึ้นด้วย

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

 
จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก
  • 76 ตอบ
  • 3929 อ่าน
« ตอบกลับ #76 baby8»เมื่อ: 09 กันยายน 2564, 02:52:14 pm »
ชวนคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตว่า ลูกเราพูดช้าหรือเปล่า

 

วันนี้ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ ของเรามีบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

 

เมื่อลูกน้อยเกิดมา สิ่งแรกที่ทำคือการสื่อสารโดยการร้องไห้ เขารู้ว่าถ้าร้องจะได้รับการตอบสนองทันที แต่เมื่อเริ่มโตขึ้น เขาก็จะรู้ว่าแค่มองหน้า ยิ้ม หรือมีภาษาท่าทาง นั่นก็เป็นการสื่อสารด้วยเช่นกัน เด็กได้ฟังเวลาพ่อแม่หรือคนเลี้ยงคุยกับเขา เชื่อมโยงสิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่เห็นจนเกิดเป็นการเรียนรู้เรื่องภาษาในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะมีพัฒนาการทางภาษาเกิดขึ้นที่อายุเดียวกัน บางคนพูดเร็ว เริ่มที่ 1 ขวบกว่าๆ บางคนก็เริ่มที่อายุใกล้ 2 ขวบ

 

แล้วเมื่อไรถึงจะเรียกว่า ผิดปกติ? พญ.สินดี ตันศิริ (จำเริญนุสิต) กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช จึงชวนคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตพัฒนาการทางการพูดของลูกกัน

 



 

พัฒนาการทางการพูดของเด็กปกติเป็นยังไง

 

ช่วงแรกเกิด- 4 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– ตอบสนองเมื่อมีเสียงดัง เช่น ร้อง กระพริบตา

– หยุดฟังเสียงหรือหยุดร้องไห้ เมื่อได้ยินเสียงคนเลี้ยง

 

การใช้ภาษา

– ร้องด้วยเสียงที่ต่างกัน เมื่อหิว หรือเจ็บ ฯลฯ

– ยิ้ม ส่งเสียง เมื่อเห็นคนเลี้ยง หรือมีคนมาเล่นด้วย

– ระวัง! *ไม่ตอบสนองต่อเสียง เมื่อเด็กอยู่ในช่วงที่ตื่นดี

 

 

ช่วงอายุ 5-7 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– เริ่มหันหาที่มาของเสียง

– มีปฏิกิริยาที่ต่างกันต่อน้ำเสียงหรืออารมณ์ของผู้ใหญ่

– หยุดฟัง มองหน้า เวลามีคนคุยด้วย

 

การใช้ภาษา

– หัวเราะ เมื่อมีคนเล่นด้วย

– เล่นเสียงได้หลากหลายขึ้น

– ระวัง! *ลูกส่งเสียงน้อย ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ โต้ตอบกับคนเลี้ยง

 

 

 

ช่วงอายุ 9-12 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– เริ่มเข้าใจคำสั่งห้าม เช่น “ไม่” “หยุด”

– มองตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ชี้ให้ดู

– ทำตามสั่งง่ายๆ ได้ เช่น บายบาย

– จำชื่อคนในบ้านพอได้

 

การใช้ภาษา

– ใช้เสียงคล้ายคำ เพื่อเรียกชื่อหรือสิ่งที่คุ้นเคย

– ส่ายหน้า หรือพยักหน้า เพื่อตอบคำถาม

– เริ่มมีคำที่มีความหมาย เริ่มเรียก ปาปา มามา ได้

– ระวัง! *ลูกไม่หันหาเสียง ไม่ทำเสียง เลียนเสียงพยัญชนะอื่นนอกจาก “อ”

 

 

ช่วงอายุ 15 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา

– ทำตามสั่งได้มากขึ้น เช่น “ไปเอารองเท้า”

– หันมอง หรือชี้คนหรือสิ่งของเมื่อถูกถาม เช่น “ไหนแม่”

 

การใช้ภาษา

– พยายามร้องเพลงหรือพูดตามแบบ

– ชี้ชวนให้คนอื่นดูสิ่งที่ตนสนใจ

– พูดได้ 4-6 คำ

– ระวัง! *ลูกยังไม่พูดคำที่มีความหมายอย่างน้อย 1 คำ เช่น หม่ำ ไป เอา ฯลฯ

 

 

ช่วงอายุ 18 เดือน
 

ความเข้าใจภาษา


– ชี้อวัยวะตามสั่งได้ 1-3 อย่าง

– ตอบสนองถูกต้องกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น “ไปอาบน้ำ” ฯลฯ

– ทำตามสั่งที่ไม่มีท่าทางประกอบได้

 

การใช้ภาษา

– มีการพูดโต้ตอบด้วยพยางค์เดียวได้

– เล่นเสียงได้ เช่น เสียงรถ บรืนบรืน เสียงสัตว์ร้อง

– ใช้ท่าทางร่วมกับคำพูดเพื่อถาม เช่น ชี้ “อะไร”

– บอกความต้องการง่ายๆ ได้ เช่น “เอา” “ไป”

– ระวัง! *ลูกไม่เข้าใจ หรือไม่ทำตามคำสั่งง่ายๆ เช่น เอาให้แม่ ไปหยิบของ ฯลฯ ไม่พูดคำที่มีความหมาย 3 คำ

 


ช่วงอายุ 2 ปี
 

ความเข้าใจภาษา

– ชี้อวัยวะได้ 3-6 อย่าง

– ทำตามสั่งได้ 2 ขั้นตอน ชี้รูปได้มากขึ้น

– เข้าใจคำถามมากขึ้น เช่น “นี่อะไร” ฯลฯ

 

การใช้ภาษา

– พูดเป็นคำที่มีความหมายได้มากขึ้น ประมาณ 50 คำ

– เรียกชื่อของในบ้านได้มากขึ้น

– พูดเป็นวลีสั้นๆ ได้ เช่น “ไปเที่ยว” “ไม่กิน” ฯลฯ

– ถามคำถาม “อะไร”

– ระวัง! *ลูกไม่พูดคำที่มีความหมายต่างกัน 2 คำต่อเนื่องเช่น เอานม ไปเที่ยว ฯลฯ พูดคำศัพท์น้อยกว่า 50 คำ

 

 

ช่วงอายุ 2 ปีครึ่ง
 

ความเข้าใจภาษา

– เริ่มทำตามสั่งที่ซับซ้อนได้มากขึ้น

– ชี้ภาพในหนังสือได้ถูกต้องมากขึ้น

 

การใช้ภาษา

– บอกชื่อตัวเองได้

– บอกความต้องการได้ เล่าเรื่องที่สนใจแต่อาจจะยังไม่เชื่อมโยง

– ระวัง! *ลูกไม่พูดเป็นวลียาว 3-4 คำ ยังทำเสียงไม่เป็นภาษา

 

ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกน้อยมีพัฒนาการทางการพูดที่สงสัยว่าจะพูดช้า ควรปรึกษากุมารแพทย์ เพื่อประเมินและให้คำแนะนำต่อไป

 

 

คำแนะนำเบื้องต้นในการพัฒนาภาษาของลูก

มีเวลาพูดคุยหรือเล่นกับลูก งดการดูจอทุกชนิด ยกเว้นการ video call
 
ออกเสียงพูดให้ชัดเจน เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก
 
ถ้าลูกพูดช้า คนเลี้ยงควรพูดในสิ่งที่เขาสนใจหรือกำลังทำ เพื่อให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ร่วมกับฝึกให้เขาทำตามสั่ง ซึ่งเราอาจจะต้องจับมือทำไปด้วย เพื่อให้เขาเชื่อมโยงคำพูดกับการกระทำ รอและเปิดโอกาสให้ลูกได้เปล่งเสียงตามด้วย
 
มีการเล่น ชี้ชวนดูรูปภาพในหนังสือ หรือสิ่งของรอบตัว ร้องเพลง เล่นสมมติ เพื่อเพิ่มคำศัพท์
 
ฝึกให้ลูกพูดในสถานการณ์จริง โดยการ

– ตั้งคำถาม เช่น “อะไร” “ที่ไหน”

– เป็นผู้ฟังที่ดี หยุดรอให้ลูกสบตา ขยับปากจะพูด อาจจะถามซ้ำถ้าไม่เข้าใจ หรือพูดแทนไปก่อน เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้

– ขยายความคำตอบของลูก และชมเขา เมื่อเห็นว่าพยายามสื่อสาร

 

เพียงเท่านี้ พ่อแม่ก็สามารถพัฒนาทักษะทางภาษาของลูกเบื้องต้นได้

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก     ร.พ.นวเวช

พญ.สินดี ตันศิริ (จำเริญนุสิต)

 

 

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นของ www.baby8slot.com แหล่งรวมสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท ของเล่นเสริมพัฒนาการ

 

จำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก ของใช้เด็ก รถเข็น คาร์ซีท
https://www.baby8slot.com